ทุกวันนี้หลาย ๆ คน หันมาให้ความสนใจกับการออมเงินมากขึ้น เพราะด้วยความรู้ทางด้านการเงินที่มีขึ้น หรือการตระหนักถึงคุณค่าของเงิน หรืออันตรายจากอัตราเงินเฟ้อก็ตาม และการออมเงินถือเป็นปัจจัยสำคัญหลัก ที่ทำให้เราทุกคนมีชีวิตที่ดีขึ้น ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง ว่าจะมีเงินใช้พอหรือไม่ หรือจะเป็นหนี้ไหม เพราะหลักของการออมก็คือ การออมก่อนแล้วใช้จ่ายทีหลัง เพื่อลดปัญหาการใช้เงินอย่างฟุ่มเฟือย และปัญหาการใช้เงินเกินตัวโดยที่ไม่มีเงินเหลือเก็บไว้สำหรับใช้จ่ายในยามจำเป็นนั่นเอง ซึ่งสมการของการออมที่รู้โดยทั่วไปก็คือ รายได้ – เงินออม = ค่าใช้จ่าย
ซึ่งหากศึกษาไปอีกก็จะพบว่า การออมเงินเพียงอย่างเดียวนั้น ไม่เพียงพอแล้วในยุคปัจจุบัน เพราะหลายคนคงรู้จักอัตราเงินเฟ้อ ที่มันจะเพิ่มขึ้นทุก ๆ ปี ทำให้ค่าของเงินลดลงไปมาก อย่างที่รู้กันอย่างง่าย ๆ ว่า เมื่อก่อนเงิน 100 บาท อาจจะกินข้าวได้ 3-4 มื้อต่อวัน แต่ปัจจุบัน เพียงแค่ 1-2 มื้อ ก็เก่งแล้ว เพราะด้วยค่าเงินที่ลดลง ทำให้เราต้องใช้จำนวนเงินมากขึ้น ในการซื้อสินค้า หรือบริการชนิดเดิมนั่นเอง
ทำให้เกิดเป็นที่มาของการศึกษาต่อ โดยการนำเงินออมของเรา ไปทำให้มันงอกเงยขึ้น ผ่านการลงทุนต่าง ๆ โดยใช้เงินต่อเงิน ใช้เงินทำงานแทนเรา เช่น หลายคนอาจจะเอาเงินไปลงทุนเปิดร้านอะไรขึ้นมาซัก 1 ร้าน นี่ก็ถือเป็นการลงทุน แต่เป็นการลงทุนที่เราค่อนข้างจะปวดหัวซักหน่อย เพราะเราต้องเป็นผู้วางแผน หรือการดำเนินการต่าง ๆ เกี่ยวกับธุรกิจที่เราจะลงทุนเอง ทำให้เหมือนการสร้างงานให้ตัวเองเพิ่มขึ้นอีก 1 งานมากกว่า หรือหลายคนก็นำไปลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพธ์ ก็ถือเป็นทางเลือกที่ดี เช่น การซื้อคอนโดแล้วปล่อยเช่า หรือการซื้อบ้านมือ 2 มาปรับปรุงแล้วขายต่อ เป็นต้น
อีกทางเลือกหนึ่งสำหรับคนที่ไม่มีเวลามากนัก และไม่ชอบการทำธุรกิจหรือการเป็นเจ้าของกิจการที่ต้องลงมือทำงานเอง ก็จะสนใจในเรื่องของการลงทุนในหุ้น ซึ่ง การลงทุนในหุ้น ก็มีหลากหลายรูปแบบดังต่อไปนี้
- เริ่มต้นด้วยการลงทุนแบบ Technical Analysis
ที่เราจะลงทุนโดยการอาศัยค่าสถิติต่าง ๆ ที่นำมาพลอตเป็นกราฟ หรือที่เรียกว่าเครื่องมือทางเทคนิค เพื่อหาจังหวะเข้าซื้อเข้าขาย โดยการนำเงินเย็นมาเล่น ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการเล่นหุ้นในระยะสั้น ถึงระยะกลาง เป้าหมายของการเล่นหุ้นแบบนี้คือ การทำกำไรจากส่วนต่างของราคาซื้อที่เราได้มา กับราคาคาดหวังที่เราอยากจะขาย เช่น เราซื้อ 100 บาท และเราหวังจะขายทีราคา 150 บาท แปลว่าเราต้องการกำไร 50% นั่นเอง ซึ่งการเล่นหุ้นแบบนี้จะค่อนข้างผันผวนและมีความเสี่ยงสูง ต้องมีความชำนาญอย่างมากถึงจะประสบความสำเร็จได้
- ส่วนอีกรูปแบบหนึ่งก็คือ Fundamental Analysis
เป็นการลงทุนแบบอิงพื้นฐานของกิจการ เช่น การดูงบการเงินของบริษัทในหลาย ๆ ปีที่ผ่านมา ว่าบริษัทมีพัฒนาการไปในทิศทางไหนอย่างไร เพื่อประเมินเหตุการณ์หรือผลลัพธ์ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต และมีการดูการดำเนินงานของบริษัทในเชิงคุณภาพด้วยเช่นกัน โดยอาจมองไปถึงนโยบายของผู้บริหาร วิสัยทัศน์ พันธกิจต่าง ๆ ว่าเราชอบหรือไม่ หากชอบและคิดว่าบริษัทจะเติมโตขึ้นเรื่อย ๆ ในอนาคต โดยไม่สนใจการแกว่งตัวของราคาในระยะสั้นก็จะทำการเข้าซื้อ โดยจะเป็นการลงทุนแบบระยะยาว ซึ่งการลงทุนแบบนี้แหละ ที่เราจะทำการเอาหลัก DCA หรือ Dollar Cost Averaging เข้ามาใช้ร่วมด้วย
เพราะการลงทุนแบบเน้นพื้นฐานกิจการนั้น บางครั้งหากเราซื้อในราคาที่แพง แต่อนาคตหุ้นกลับราคาลง ก็แปลว่าการลงทุนของเราล้มเหลว DCA คือการซื้อหุ้นโดยการเฉลี่ยราคา กล่าวคือ หากเราไม่ชำนาญในการจับจังหวะ หรือเราไม่รู้ว่าราคาที่เหมาะสมที่แท้จริง ของหุ้นบริษัทที่เราสนใจนั้น ควรมีราคาอยู่ที่เท่าไร วิธีการนี้จะเข้ามาช่วยได้ดี เพราะการซื้อเฉลี่ยราคาจะทำให้เราได้หุ้นมาในราคาที่ไม่สูงนัก แต่เราก็อาจจะไม่ได้หุ้นที่มีราคาถูกที่สุดเช่นกัน เช่น หุ้น A เราซื้อเฉลี่ยราคามาได้ที่ 87 บาท แต่ต้นทุนจริง ๆ ของหุ้น A อาจอยู่ที่ 75 บาท และในอนาคตหากราคาอยู่ที่ 95 บาท จะเห็นได้ว่า การซื้อหุ้นแบบ DCA ก็ยังสามารถทำกำไรได้อยู่ แต่อาจจะไม่มากเท่ากับการวิเคราะห์ราคาที่เหมาะสมนั่นเอง
สำหรับใครที่มีเงินออมและอยากจะลงทุนในหุ้น แต่ไม่มีความรู้เลย ก็ไม่ต้องกังวลใจ เพียงแค่เรารู้เรื่องการทำ DCA และเราพอจะทราบได้ว่า เราชอบธุรกิจอะไร อย่างเช่น หากเราชอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ หรือเราชอบหุ้นต่างประเทศ แต่เราไม่มีความรู้ว่าจะซื้อขายได้อย่างไรหรือไม่รู้วิธีการเล่นหุ้น เราก็สามารถลงทุนได้โดยผ่านทางกองทุนต่าง ๆ นั่นเอง และเราก็ทำการ DCA เข้าไปเรื่อย ๆ เช่น เดือนละ 5,000 บาท หรืออาจจะมากกว่านี้ก็จะยิ่งดี เพราะถือเป็นการลงทุน แต่การ DCA ก็ไม่ใช่ว่าเราจะซื้อได้ทุกราคาซะทีเดียว ในบางเดือนเราก็ไม่ควรจะซื้อหุ้น เช่น หากเราไป DCA ในช่วงที่หุ้นมีข่าวดีมาก ๆ แล้วอีกวันข่าวดีนั้นมันจางไป ราคาหุ้นก็จะลงมานั่นเอง แต่หากเราไปทำ DCA ในวันที่มีข่าวร้าย ข่าวร้ายแปลว่าราคาถูก ราคาลง หากเรา DCA ไปเรื่อย ๆ โดยคิดว่าพื้นฐานของตัวหุ้นไม่เปลี่ยน ยังมีความแข็งแกร่งอยู่ ก็จะทำให้เราได้หุ้นในราคาถูกมานั่นเอง