การเล่นหุ้น คือ ตัวอย่างของการบริหารเงินแบบชาญฉลาด เนื่องจากการนำเงินก้อนมาทำให้มีการเพิ่มพูนรายได้ที่มากกว่าเดิมไม่ใช่เรื่องง่ายนัก แต่หากมีความตั้งใจจริงและมีการเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา ในไม่ช้าก็จะสามารถทำให้เกิดมูลค่าเพิ่มของเงินได้อย่างง่ายดาย โดยตัวอย่าง เศรษฐีนักเล่นหุ้นของประเทศไทย ที่เก่งในด้านการเงินที่โดดเด่นของประเทศไทยมีดังต่อไปนี้
1.นายแพทย์ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ
เมื่อกล่าวถึงผู้ที่มีความสามารถในการเล่นหุ้นมากที่สุดคนหนึ่งของวงการหุ้นไทยและมีความสามารถในการบริหารเงินหลาย ๆ คน จะต้องนึกถึงนายแพทย์ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ อย่างแน่นอน ส่วนหนึ่งก็เนื่องมาจากความสามารถและการวางแผนอย่างน่าทึ่งของเศรษฐีหุ้นท่านนี้ จึงไม่น่าแปลกใจที่นายแพทย์ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ ท่านได้กลายเป็นมหาเศรษฐีหุ้นแสนล้านในปัจจุบัน
แชมป์เศรษฐีหุ้น ในปี 2558
การจัดอันดับของวารสารการเงิน การธนาคาร ได้ร่วมมือกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ร่วมมือจัดอันดับเศรษฐีหุ้นของประเทศไทย โดยปีนี้มีการวัดรายชื่อจากผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ในสัดส่วน 0.5 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งผลการสำรวจพบว่า นายแพทย์ปราเสริฐ ได้อันดับที่หนึ่งของแชมป์เศรษฐีหุ้นไทย โดยนายแพทย์ท่านนี้ติดอันดับหนึ่งมาแล้วสามปีซ้อน ซึ่งท่านนี้เป็นกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ของ บมจ.กรุงเทพดุสิตเวชการ ซึ่งนอกจากหุ้น บมจ.กรุงเทพดุสิตเวชการที่นายแพทย์ท่านนี้ถือหุ้นอันดับหนึ่งแล้ว ท่านเองก็ยังถือหุ้นของ บมจ.โรงพยาบาลนนทเวช นอกจากนี้นายแพทย์นักเล่นหุ้นยังมีฐานะเพิ่มขึ้นจากการนำ บมจ.สายการบินบางกอกแอร์เวย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อีกด้วย
อ่านเพิ่มเติม : ‘หมอเสริฐ’ สุดยอดนักบริหารแชมป์ เศรษฐีหุ้นไทย (ข่าว)
จะเห็นได้ว่าเทคนิคการบริหารเงินของนายแพทย์ท่านนี้ คือ การก้าวไกลอย่างไม่หยุดยั้งของการซื้อกิจการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เขาถนัด ไม่ว่าจะเป็นการซื้อกิจการโรงพยาบาลหรือกิจการสายการบินก็ตามที
2.อนันต์ อัศวโภคิน
อนันต์ อัศวโภคิน เป็นแชมป์เศรษฐีหุ้นของไทยมาแล้วเจ็ดปีซ้อน โดดเด่นด้วยการก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งของ บมจ แลนด์ แอนด์เฮ้าส์ นอกจากนี้ยังครองตำแหน่งเศรษฐีหุ้นอันดับ 5 ของโลกอีกด้วย ซึ่งสิ่งที่จัดได้ว่าเป็นกุญแจไขสู่ความสำเร็จของเศรษฐีหุ้นท่านนี้ก็คือ การทดลองทำธุรกิจหลายอย่าง แม้ส่วนมากธุรกิจที่เขาได้ลงมือทำจะไม่ประสบความสำเร็จมากกว่าประสบความสำเร็จ แต่ทว่าเขาก็ได้รับบทเรียนทุกครั้งที่ความล้มเหลวมาถึง ซึ่งหลักในการบริหารเงินของเขาจะพิจารณาในด้านของการดำเนินธุรกิจให้ครบถ้วน และในการทำธุรกิจเขาจะไม่ดูผลตอบแทนต่อยอดขาย แต่ให้ดูจากผลตอบแทนต่อเงินลงทุนที่ใช้ไป ไม่ว่าจะเป็นการตั้งราคาและบริการที่ต้องเอาใจใส่เป็นพิเศษ
ทั้งนี้ การทำธุรกิจส่วนใหญ่แล้วผู้ดำเนินธุรกิจจะมีเพียงการพูดถึงเรื่องของการเติบโต โดยไม่ได้พูดถึงเรื่องของคุณภาพไม่ว่าจะเป็นคุณภาพสินค้า คุณภาพบริการ คุณภาพของการส่งมอบเพื่อให้ได้การเจริญเติบโตของธุรกิจขึ้นมา
3.นิติ โอสถานุเคราะห์
นิติ โอสถานุเคราะห์ เป็นเศรษฐีหุ้นอีกหนึ่งคนที่น่าจับตามอง ชายหนุ่มคนนี้โดดเด่นด้วยการคัดเลือกหุ้นที่มีแนวโน้มของการเจริญเติบโตที่น่าทึ่งมากที่สุด ส่วนใหญ่แล้วหลาย ๆ คนมักจะมองว่าชายหนุ่มคนนี้มีพื้นฐานหรือเงินทุนที่ดีจากครอบครัว แต่หากปราศจากการบริหารเงินที่เยี่ยมยอดและเต็มเปี่ยมไปด้วยกลยุทธ์แล้ว เชื่อได้ว่าเขาจะไม่มีวันได้ก้าวสู่จุดนี้อย่างแน่นอน
กลยุทธ์ของการบริหารด้านหุ้นของทายาทโอสถสภาที่หลาย ๆ คน จับตามอง คือ การเก็บหุ้นที่มีแนวโน้มเจริญเติบโตมากที่สุด ยกตัวอย่างเช่น ในอดีตที่เขาเคยได้เก็บหุ้น BIGC ในราคาเพียง 10 บาท เท่านั้น
4.อนุรักษ์ บุญแสวง
อีกหนึ่งผู้เล่นหุ้นที่ได้รับการยอมรับ ได้แก่ โจ ลูกอีสาน เจ้าของฉายาที่แลดูว่าจะเป็นผู้ที่ภูมิลำเนาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หากแต่ว่าตัวจริงของเขากลับเป็นชาวพังงา ด้วยวัยเพียง 30ปลาย ๆ เขามีหุ้นขนาดใหญ่ทั้งหมดอยู่ในหลัก 100 ล้าน และด้วยความที่มารดาของโจมีอาชีพขายของชำพร้อมเลี้ยงดูครอบครัวมากถึง 5 ปากท้อง แต่ทว่าพี่น้องของโจทุกคนก็มีหัวใจในการต่อสู้ จากชีวิตในวัยเด็กมีส่วนให้เขาประสบความสำเร็จในปัจจุบัน ในช่วงที่เขาใช้ชีวิตในการเรียนมหาวิทยาลัย เขาได้ใช้เวลาว่างในการอ่านนิตยสารวารสารธุรกิจ พร้อม ๆ ไปกับการทดลองเล่นหุ้นครั้งแรก แต่ต้องพบว่าล้มเหลว แม้จะล้มเหลวแต่เขาเองก็ไม่ยอมล้มเลิก พยายามสั่งสมประสบการณ์ที่มีและนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในชีวิตประจำวัน
สไตล์การถือหุ้นของเขาจะไม่เหมือนกับคนที่เล่นสั้น เนื่องจากส่วนใหญ่แล้วเขามักจะถือหุ้นนาน โดยเฉลี่ยแล้วระยะเวลาของการถือหุ้นจะอยู่ที่หนึ่งปี ซึ่งเขาเคยบอกว่าสถิติของการถือหุ้นที่นานที่สุดของเขาได้แก่ 3 ปี ส่วนการถือหุ้นในระยะที่สั้นที่สุด ได้แก่ 3 เดือน ลักษณะของการบริหารเงินและบริหารหุ้นของโจ เขาจะไม่เทน้ำหนักไปที่หุ้นตัวใดตัวหนึ่ง แต่จะกระจายหุ้น เพราะการวิเคราะห์หุ้นที่ผิดพลาดจะทำให้ความเสียหายเกิดขึ้นได้มากกว่าเดิม เขาจะไม่วัดดวงกับการเลือกหุ้นเพียงหนึ่งตัวหรือสองตัว แต่จะวิเคราะห์หุ้นหลาย ๆ ตัว เพื่อให้เกิดการกระจายตัวมากที่สุด
หลักการของโจในการถือหุ้นที่น่าคิดที่สุด คือ การไม่หวั่นไหวไปตามตลาด และหากวิเคราะห์ตัวหุ้นดีแล้วก็ไม่ต้องหวั่นไหวกับราคาหุ้นที่ตกลงมา แต่ควรซื้อเพิ่มในราคาที่ต่ำกว่าเดิม
สำหรับผู้ที่ต้องการบริหารเงินให้ได้ประโยชน์สูงสุด การเลือกบริหารการเงินด้วยหุ้นคือสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม โดยเลือกศึกษาจากบุคคลต้นแบบที่กล่าวมาข้างต้น เพื่อให้การเรียนรู้ไม่สูญเปล่านั่นเอง