เงินทองเป็นของหายาก เป็นจริงสำหรับคนส่วนใหญ่ แต่ไม่ใช่สำหรับทุกคน โลกนี้มีเรื่องแปลกๆมากมาย หลายๆคนมีเงินเป็นสิบเป็นร้อยล้าน แต่ชีวิตกลับพิสดาร เป็นเรื่องให้เล่าขานกันมากมาย วันนี้มีเรื่องในมุมเล็กมุมน้อยของมหาเศรษฐีทั้งหลายมาฝาก
เริ่มต้นด้วย เรื่องของคนแก่คนหนึ่ง ขายสมบัติที่มีอยู่ทั้งหมด แล้วเอาเงินไปฝากธนาคาร ทุกวันจะหยิบสมุดเงินฝากนั้นออกมาดูว่าตนเองจะได้รับดอกเบี้ยเท่าไหร่แล้ว
ด้วยการดูแบบนี้ทุกๆวัน ทำให้เขามีความสุขมากๆ ความสงสัยจึงเกิดขึ้นกับลูกชายของเขา สงสัยว่าวันๆพ่อนั่งทำอะไรในห้อง ดูไปยิ้มไป จนเขาพบความจริง แล้วแอบเอาสมุดเงินฝากกับตราประทับของพ่อ ไปถอนเงินออกมาทั้งหมด จากนั้นก็ทำสมุดบัญชีปลอมขึ้นมา เพื่อให้พ่อได้เชยชมเหมือนเช่นเคยทุกวัน หลายเดือนต่อมาผู้เป็นพ่อได้ไปที่ธนาคาร จึงได้รู้ว่า ที่แท้เงินถูกถอนออกไปหมดเสียแล้ว เขาเสียใจมาก ลูกจึงปลอบใจพ่อว่า ให้พ่อคิดว่าสมุดนั้นเป็นของจริง และพ่อก็จะคำนวณทรัพย์สินของพ่อได้เหมือนเดิม เงินฝากในธนาคารแล้วไม่ได้ใช้ ก็เหมือนกับไม่มีเงินนะแหละ เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า เงินทองนั้นไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบใด ตัวมันเองไม่มีค่า คุณค่าของมันเกิดจากคน และขึ้นอยู่กับว่าคนคนนั้นจะใช้มันอย่างไร
เรื่องที่สอง เป็นเรื่องบัฟเฟตต์ มหาเศรษฐีระดับโลก ที่ทุกคนต่างก็รู้จักดี รู้ไหมว่าเงินที่เขามีมากมายนั้น เขาวางแผนให้เงินเหล่านี้อย่างไร
เมื่อเขาได้เสียชีวิตลง หลายคนคงคิดในใจว่า ก็ต้องยกให้ลูกหลาน ญาติพี่น้องนะสิ น่าอิจฉาลูกๆของเขาเสียจริง ถูกต้อง เขาแบ่งเงินให้ลูกๆของเขาจริงนะแหละ แต่แบ่งให้แค่เศษเล็กๆ จิ๋วๆของเงินทั้งหมดที่เขามีเท่านั้น เขาทิ้งเงินให้ลูกชายทั้งสองคนละ 3 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 90 กว่าล้านบาท เงินส่วนใหญ่ของเขา เขาบอกให้ตั้งมูลนิธิขึ้นมา แล้วให้คนเก่งนำเงินเหล่านี้ไปบริหารให้เกิดประโยชน์กับมวลมนุษย์ บัฟเฟตต์กล่าวว่า ความสุขที่แท้จริงของเขา ไม่ใช่อยู่ที่ปราสาท แต่อยู่ที่การกั้นห้องในบ้านเพิ่มขึ้นปีละห้อง เพราะว่าความสุขเป็นขั้นตอนระหว่างเดินทาง ไม่ใช่ผลลัพธ์ที่ปลายทาง จะเห็นว่าคนที่มีเงินจริงๆนั้น เขาคิดอะไรในสิ่งที่คนทั่วไปคาดไม่ถึงจริงq
เรื่องสุดท้ายเป็นเรื่องของชาวจีนคนหนึ่งชื่อเฉินเต๋อซิ่น แน่นอนว่าไม่มีใครคุ้นชื่อของเขาใช่ไหม แต่เขาเป็นคนที่เสียภาษีให้กับรัฐบาลถึงปีละ 2000 ล้าน
เมื่อเขาเสียชีวิตลง ได้ทิ้งทรัพย์สมบัติไว้นับหมื่นล้านเลยทีเดียว ชีวิตของเขาพิสดารยิ่งนัก ความเป็นอยู่ต่างๆยังสู้กับคนธรรมดาที่มีเงินพอประมาณไม่ได้ เขาอาศัยรถเมล์เป็นพาหนะเดินทาง เขานอนเตียงชั่วคราวที่บริษัท โดยไม่ยอมซื้อบ้านเป็นของตัวเอง นุ่งกางเกงในขาดๆ และอยู่เป็นโสดตลอดชีวิตของเขา สุดท้ายมรดกทั้งหมดตกอยู่กับญาติพี่น้อง และเกิดการแย่งชิงกันวุ่นวาย เป็นข่าวใหญ่ในหน้าหนังสือพิมพ์ เรื่องนี้ชี้ให้เห็นถึงการตกเป็นทาสเงินตรา รู้หาแต่ไม่รู้ใช้ สุดท้ายตายไปก็จบกัน
จากทั้งสามเรื่องเล่านี้ จะเห็นได้ว่า เงินนั้นจะเป็นสิ่งที่มีค่าก็ต่อเมื่อ เจ้าของรู้จักใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่น ชีวิตจริงของคนที่มีเงินมากมายมหาศาลนั้น บางทีก็ห่างไกลจากความคิดและจินตนาการของคนทั่วไป คนส่วนใหญ่ใฝ่ฝันอยากมีเงินทอง ทุ่มเทแรงกายแรงใจและเวลาทั้งหมดไปกับการหาเงิน ลืมลูกๆ ลืมคนรัก ลืมพ่อแม่และคนในครอบครัว จนเมื่อได้เงินสมใจแล้ว กับต้องสูญเสียความสำคัญด้านอื่นของชีวิตไป สุดท้ายเงินนั้นก็ไม่ได้สร้างความสุขและตอบโจทย์ชีวิตของเขาได้อยู่ดี เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว ขอให้เราทั้งหลายใช้ชีวิตอย่างพอดีและสมดุล เงินสำคัญกับการดำรงชีวิตก็จริง แต่ทุกอย่างของชีวิตไม่ได้ขึ้นกับเงินเพียงอย่างเดียว เกิดเป็นคนทั้งที ไม่มีเงินไม่ได้แปลว่า ล้มเหลว ขอให้มีเงินแต่พอดี มีชีวิตอย่างพอพียง มีความสุขและสมดุลในทุกด้าน ก็เพียงพอแล้ว