เมื่อเราย่างกราย ก้าวเข้าสู่วัยทำงานอย่างเต็มที่ เราจะพบว่า การทำงานที่แท้จริงไม่ได้เป็นไปในแบบที่เราคิดฝันไว้เลย การที่เราจะเจอเจ้านายดีดี รับฟังความคิดเห็นของลูกน้อง หรือแม้แต่เพื่อนร่วมงานที่คอยช่วยเหลือ ไม่อิจฉาริษยา ภาพฝันแบบนี้อาจจะมีอยู่จริงหรือไม่ก็ได้ แล้วแต่สถานการณ์ แต่เราก็อย่าเพิ่งไปคาดหวังอะไรมาก เพราะคนเราอย่างที่รู้ๆกันมีหลากหลายประเภท ทั้งดีและไม่ดี บางคนดีแต่เปลือกนอกก็มี แต่เรามีวิธีที่จะรับมือกับสถานการณ์อันไม่พึงประสงค์นี้ได้ ในแบบฉบับของคนโง่ หลายคนอาจจะงง โง่แล้วดีตรงไหน เดี๋ยวนี้ใครๆก็อยากฉลาดทั้งนั้นแหละ อย่าเพิ่งปิดใจไปค่ะ วันนี้เราจะพาทุกท่าน งัดเอาความโง่ออกมาใช้ในการทำงานกัน
แรงบันดาลใจของผู้เขียน เกี่ยวกับบทความนี้ (ขออนุญาตให้เครดิตนิดนึงนะคะ) มาจากหนังสือเล่มหนึ่ง ซึ่งมีโอกาสได้อ่านมานานแล้ว เป็นหนังสือที่ชื่อว่า “คนฉลาดแสร้งโง่” เป็นหนังสือแปลค่ะ โดยคุณอธิคม สวัสดิญาณ เป็นผู้เรียบเรียง ต้นฉบับที่แท้จริงเป็นของนักเขียนชาวญี่ปุ่นที่ชื่อว่า “อิบูคิ ทาคาชิ”
โดยส่วนตัวแล้วก็ชอบอ่านหนังสือที่เป็นงานแปลจากนักเขียนญี่ปุ่นค่ะ เพราะรู้สึกว่า คนญี่ปุ่นเป็นนักปรัชญาตัวยงและแต่ละท่านก็เข้าใจการใช้ชีวิตคนรวมไปถึงสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นได้อย่างน่าอัศจรรย์ เรื่องเล็กๆน้อยๆ ที่เราคาดไม่ถึง ที่ความรู้ใหม่ๆ ก็สามารถนำไปใช้ได้จริงในชีวิตประจำวันอีกด้วย และเกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้ก็เช่นกัน ที่ผู้เขียนได้ถ่ายทอดความโง่ออกมาในเชิงที่สร้างสรรค์ จึงคิดว่าเป็นเรื่องที่คนไทยเราควรรู้ และควรนำไปปฏิบัติมากที่สุด โดยเฉพาะในการทำงานกับร่วมกับคนอื่น เพื่อ ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน เอาล่ะ เรามาดูที่เนื้อหาสาระกันเลยดีกว่าค่ะ
-
จงเป็นคนโง่ที่ต่อต้านความรู้
สำคัญมากค่ะ เพราะปัจจุบันนี้ข้อมูลข่าวสารต่างๆมีมากมายเหลือเกิน เอกสารตำรับตำราต่างๆก็มีความทันสมัย เข้าถึงง่าย ผู้คนเสพสื่อเสพความรู้แบบเอาเป็นเอาตาย งานวิจัยออกมาแบบนี้มีน่าเชื่อถือนะ จนบางทีก็ลืมคิดว่า มันเป็นอย่างนั้นได้จริงหรือ มันสามารถเป็นอย่างอื่นได้อีกไหม ? โดยธรรมชาติทั่วไปนั้นคนเรามักเชื่อในสิ่งที่คนอื่นคิดออกมา เผยแพร่ออกมา แต่ขาดการคิด ทำให้ความรู้ที่ได้รับส่งผลร้ายต่อตนเอง คนส่วนใหญ่จึงหลงทางให้ความสำคัญกับความรู้ที่ได้รับ แต่ลดความสำคัญกับการปฏิบัติเพื่อค้นพบความรู้ มีแต่คนโง่เท่านั้นล่ะที่ยอมทำงานหนัก มีแต่คนโง่เท่านั้นล่ะที่ลงมือทำ ส่วนคนฉลาดมีหน้าที่คิด(เอง เออ เอง) และบริหารให้คนโง่ทำตาม การกระทำแบบนี้เกิดขึ้น และมีให้เห็นทั่วไปในสังคม และเกิดผลร้ายเป็นอย่างมาก เพราะนั่นส่งผลต่อการแก้ไขปัญหาในอนาคต ดังนั้นจงลองเปลี่ยนมาเป็นปฏิบัติเพื่อให้มองเห็นวิธีมากกว่าที่จะเอาวิธีมาปฏิบัติกันดีกว่าค่ะ ความยากลำบากทำให้คนที่โง่เขลา ประสบความสำเร็จมากนักต่อนักแล้ว
2. ครองใจคนแบบโง่ๆ
โลกนี้มีคนจำนวนไม่กี่ประเภทใหญ่ๆ แบบแรกคือประเภทที่รู้ลึกรู้จริง เรียกว่า ฉลาด แบบที่สอง ไม่รู้จริงแต่แสร้งทำเป็นรู้ เรียกว่า โง่อวดฉลาด แบบสามรู้จริงแต่ทำเป็นไม่รู้ เรียกว่า ฉลาดแสร้งโง่ แบบที่สี่ ไม่รู้อะไรเลยจริงๆ คือ เป็นคนโง่โดยสมบูรณ์ คนส่วนใหญ่มักจะเป็นแบบที่สามและแบบที่สี่ คือไม่รู้จริงแต่ต่างกันแค่การเลือกแสดงออกต่างกัน แล้วถามว่าในสี่แบบนี้ เราควรเป็นแบบไหนมากที่สุด คำตอบคือ แบบที่สาม ฉลาดแต่แสร้งโง่ ทำไม?จึงเป็นเช่นนั้น นั่นก็เพราะว่า ความฉลาดหรือความรู้ที่มี ควรใช้ให้ถูกคนถูกที่ถูกทางและถูกเวลา เหมือนดั่งคำคมที่ว่า “กระบี่อยู่ที่ใจ” คนฉลาดแสร้งโง่จะไม่โอ้อวดในความรู้ว่าตนนั้นเหนือกว่าคนอื่น ไม่ทำตัวเป็นน้ำชาล้นถ้วยเหมือนกับคนแบบแรกที่ยึดมั่นในความรู้ที่ตนมีจนไม่เปิดใจกับคนอื่นๆหรือเรื่องอื่นๆ การแสร้งโง่ทำให้เราได้รับฟังความเห็นจากคนอื่น ได้เห็นมุมมองใหม่ๆที่กว้างขึ้นนั่นเอง ถึงได้บอกว่า ให้แสร้งโง่เข้าไว้ แม้แต่กับการทำงาน ถ้าเรายังเป็นมือใหม่หรือทำงานมานานแล้ว ก็อย่ายึดติดในความรู้ที่ตนเองมีมากเกินไป อย่าทะนงตนจนไม่มีใครอยากจะเข้าใกล้ จงทำตัวเองให้เหมือนแก้วเปล่าที่พร้อมรับกับสิ่งใหม่ๆอยู่เสมอ ไม่แน่ว่ายังมีความรู้ดีดี มุมมองดีดี ที่เรายังมองไม่เห็น แอบซ่อนอยู่ที่ไหนสักที่ก็เป็นได้
3.ไม่เอาชนะ ตามสไตล์คนโง่
ทำไมเธอไม่เถียง ไม่คัดค้านอะไรเลย ทำไมถึงโง่อย่างนี้ ? หลายคนก็คงเคยคิดว่าทำไม ? คนเหล่านี้มีน้อย และถูกมองว่า เป็นพวกขี้แพ้ ไม่กล้าต่อสู้ แต่แท้จริงแล้ว พวกเขามีอะไรมากกว่านั้น การต่อล้อต่อปากต่อคำ เป็นสิ่งที่ทำให้เราได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นก็จริง แต่ควรใช้ให้ถูกคน ถ้าเถียงกับคนที่มีเหตุผลก็จะได้เหตุผล แต่ถ้าเถียงกับคนที่ใช้แต่อารมณ์ ล้วนแต่จะได้เป็นอารมณ์กลับมา พาลให้เกลียดขี้หน้ากันไปเปล่า ๆ เพราะฉะนั้นแล้ว ถ้านิ่งได้ให้นิ่ง ถ้าใจเย็นได้ให้ทำ ไม่ต้องไปเอาชนะ อะไรที่ให้อภัยได้ก็ควรให้อภัย เหมือนดังคำคมที่ว่า ความมืดไม่สามารถไล่ความมืดได้ มีแต่แสงสว่างเท่านั้นที่ไล่ความมืดได้ ความเกลียดชังก็เช่นกันสามารถแก้ได้ด้วยความรัก หากใครอยากจะรักษาความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง ทั้งที่ทำงานด้วยกัน ก็อย่าพยายามมีปากเสียงกันเลยค่ะ