ทุกวันนี้เรากำลังอยู่ในโลกที่เงินเฟ้อพยายามที่จะกัดกินและลดทอนมูลค่าเงินในกระเป๋าของเราลงเรื่อยๆทุกปี แต่ในความเป็นจริงเงินของเรามันไม่ได้โดนกัดหายไปจริงๆหรอก เคยมี 100 บาท พอหมดปีก็ยังมี 100 บาทเหมือนเดิมนั่นแหละ แต่มันจะแสดงออกมาในราคาสินค้าที่แพงขึ้นแทน เนี่ยแหละที่เค้าเรียกกันว่ากับดักตัวเลขที่เงินเฟ้อมันหลอกเรา ยกตัวอย่างเหตุการณ์ที่แสดงให้เห็นถึงเงินเฟ้อ ก็เช่น เมื่อประมาณสัก 20 ปีที่แล้ว ก๋วยเตี๋ยวชามละ 10 บาท แต่เดี๋ยวนี้ 10 บาทซื้อก๋วยเตี๋ยวไม่ได้แล้วอย่างน้อยๆก็ต้อง 30 บาท ขึ้นไปบางคนอาจจะยังไม่ตกใจแล้วบอกว่าเพิ่มขึ้นมาแค่ 20 เอง แต่ถ้าลองคิดเป็นเปอร์เซ็นต์แล้ว คุณจะต้องตกใจเพราะมันเพิ่มขึ้นมาตั้ง 200 เปอร์เซ็นต์เชียวนะคุณ !!!! ภายในเวลา 20 ปี หารเฉลี่ยออกมาก็จะตกปีละ 10 เปอร์เซ็นต์ โดยปกติเงินเฟ้อจะอยู่ที่ประมาณปีละ 3-4 เปอร์เซ็นต์ แต่ที่ก๋วยเตี๋ยวแพงขึ้นปีละ 10 เปอร์เซ็นต์เพราะมันมีพลังของการทบต้นนั่นเอง
เมื่อก่อนคุณอาจจะคิดว่าเงินเฟ้อแค่ 3 เปอร์เซ็นต์ ต่อปีเองชิวๆสบายมากไม่เห็นจะเยอะเลย แต่หลังจากที่ผมชี้ให้เห็นถึงราคาก๋วยเตี๋ยวที่เพิ่มขึ้นมาถึง 200 เปอร์เซ็นต์ ภายใน 20 ปีแล้ว ตอนนี้คุณคงเริ่มคิดว่า คุณไม่สามารถดูถูกและมองข้ามอำนาจของเงินเฟ้อที่ทบต้นอย่างต่อเนื่องได้อีกต่อไปเพราะ อำนาจของมันช่างมหาศาลอย่างที่เราคาดไม่ถึงเลยทีเดียว และเมื่อยิ่งเวลาผ่านไปยาวนานมากเท่าไหร่ มันก็จะแสดงอิทธิฤทธิ์ให้คุณเห็นมากขึ้นเท่านั้น ว่ากันว่า นักวิทยาศาสตร์ชื่อดังอย่าง อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ยังยกให้มันเป็นสิ่งมหัศจรรย์อันดับ 8 ของโลกกันเลยทีเดียว ขอย้ำว่าพลังของการทบต้นนั้นมหาศาลจริงๆ ไม่เชื่อลองไปคิดดูนะครับว่าถ้าเวลามันผ่านไปอีกสัก 50 ปีข้างหน้า ราคาก๋วยเตี๋ยวจะเป็นเท่าไหร่ ถ้าให้เงินเฟ้ออยู่ที่ประมาณปีละ 3-4 เปอร์เซ็นต์ ผมก็ยังไม่เคยนั่งคิดเหมือนกันแต่คาดว่าคงแพงจนเราต้องหันมาตั้งคำถามเลยหล่ะว่า เราจะลงทุนอย่างไรให้ในอีก 50 ปีข้างหน้าเราจะยังซื้อก๋วยเตี๋ยวกินได้อย่างสบายใจ หรือพูดอีกอย่างก็คือการที่คิดว่าเราจะลงทุนอย่างไรให้ชนะเงินเฟ้อนั่นเอง
วิธีง่ายๆที่คุณจะชนะเงินเฟ้อได้นั่นก็คือ คุณต้องลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนมากกว่าเงินเฟ้อ ฟังดูเหมือนกำปั้นทุบดินแต่มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ
คุณจะเลือกลงทุนอะไรก็ได้ไม่ว่าจะเป็น พันธบัตรรัฐบาล กองทุน หุ้น หรือ อสังหาริมทรัพย์ ขอเพียงแค่การลงทุนของคุณให้ผลตอบแทนที่มากกว่าอัตราเงินเฟ้อเป็นใช้ได้ แต่แค่นั้นยังไม่พอในเมื่อเงินเฟ้อมันใช้พลังของการทบต้น ถ้าคุณต้องการชนะเงินเฟ้อแบบขาดลอยคุณต้องใช้พลังของการทบต้นเช่นเดียวกัน นั่นคือ เมื่อได้กำไรจากการลงทุนแล้ว คุณต้องนำกำไรที่ได้ไปลงทุนต่อนั่นเอง อย่าเพิ่งดีใจกับกำไรและใช้มันจนหมดละ ไม่เช่นนั้นเงินเฟ้อคงหัวเราะเยาะคุณแน่ วิธีนี้จะสามารถทำให้เงินออมที่ดูเหมือนจะเล็กน้อยของคุณกลายเป็นเงินก้อนโตได้เมื่อเวลาผ่านไป ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่มันก็จะทวีคูณความโตมากขึ้นเท่านั้น อันที่จริงแล้วเคล็ดลับสุดยอดที่ทำให้เรื่องของ ดอกเบี้ยทบต้น เป็นสิ่งน่าอัศจรรย์ นั่นก็คือ “เวลา” นั่นเอง นักลงทุนที่เก่งๆอย่าง วอร์เร็น บัฟเฟตต์ ,ปีเตอร์ ลินซ์ หรือถ้าในบ้านเราก็ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ทุกท่านต่างเข้าใจสิ่งนี้เป็นอย่างดี และพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าการลงทุนยิ่งเริ่มตั้งแต่อายุน้อยยิ่งได้เปรียบเพราะมีทุนในเรื่องของ “เวลา” คือมีระยะเวลาในการรอให้เงินมันทบต้นหลายๆรอบ เงินก็จะโตได้อย่างมหาศาล บางครั้งทุนเยอะกว่าแต่ถ้าเริ่มช้าก็อาจจะสร้างผลตอบแทนได้น้อยกว่าเด็กๆที่มีเวลาเป็นเพื่อนก็ได้
หลายคนอาจจะสงสัย ว่าเมื่อก่อนคนทั่วไปก็สามารถรวยได้โดยที่ก็ไม่เห็นได้ลงทุนอะไรมากมาย (แต่คนที่รวยจริงๆในสมัยก่อนก็ลงทุนนะส่วนมากจะรวยจากการลงทุนในที่ดิน หรือ อสังหาริมทรัพย์ ) ทำงาน ได้เงิน ฝากแบงค์ จบ แต่โลกได้เปลี่ยนไปแล้ว เปลี่ยนยังไงหนะหรอ ก็เพราะว่ามันหมดยุคที่ดอกเบี้ยเงินฝากให้ผลตอบแทน10 %ต่อปี ยุคทองของดอกเบี้ยเงินฝากได้จบลงไปแล้ว ซึ่งถ้าคุณเป็นคนในยุคนั้นถึงคุณไม่ได้ลงทุนอะไรเลย เงินเฟ้อก็ไม่อาจจะทำอะไรกับคุณได้ เพราะว่าคุณได้ผลตอบแทนชนะเงินเฟ้อ และแถมยังมีพลังของดอกเบี้ยที่ทบต้นด้วย แถมยังทบต้นในอัตราผลตอบแทนตั้ง 10 %ต่อปี โอย…ไม่ต้องทำอะไรแล้ว นอนกระดิกเท้ารวยได้เลย
แต่ปัจจุบันมันต่างกัน มันเลยทำให้ทุกวันนี้การตั้งใจทำงานเก็บเงินและนำเงินที่ได้มาจากความขยันพากเพียรนั้นนำไปฝากธนาคาร แล้วคิดว่าสักวันหนึ่งตัวเองจะรวย มีชีวิตอย่างสุขสบายในบั้นปลายของชีวิต วิธีการนี้อาจไม่ใช่วิธีการที่ดีอีกต่อไป เพราะคุณจะแพ้อำนาจของเงินเฟ้อที่ทบต้นทุกๆปีแน่นอน แม้ว่าตอนที่เราทุกคนเด็กๆเคยได้รับการปลูกฝังมาอย่างนั้นก็ตาม แต่หากต้องการที่จะชนะเงินเฟ้อแล้ว ในยุคนี้ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆที่ชนะเงินเฟ้อนั่นเอง