เป็นข่าวใหญ่ไปเมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อทายาทเจ้าของโรงแรมเก่าแก่อย่างโรงแรม สวิทโฮเต็ลปาร์คนายเลิศ ซึ่งตั้งอยู่บนถนนวิทยุ ได้ออกมาประกาศปิดกิจการโรงแรม จากนั้นก็มีข่าวต่อมาว่าได้ตัดสินใจขายที่ดินของโรงแรมให้กับกลุ่มโรงพยาบาลกรุงเทพ โดยการดำเนินธุรกิจโรงแรมนั้นจะสิ้นสุดลงในช่วงสิ้นปีนี้ ส่วนที่ยิ่งทำให้ข่าวดูใหญ่โตขึ้นไปอีกก็เนื่องจากมูลค่าดีลในการซื้อขายที่ดินของโรงแรมในครั้งนี้สูงถึง 10,800 ล้านบาท เราจินตนาการกันไม่ถูกเลยว่ามูลค่าเงินจำนวนนี้มันจะมากมายขนาดไหนกัน
รายละเอียดของเนื้อข่าวนั้นเป็นเรื่องที่ทายาทเจ้าของโรงแรม คือ คุณเล็ก ณพาภรณ์ โพธิรัตนังกูร ได้ออกมาแถลงข่าวถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในครั้งนี้ว่าเกิดจากการที่ธุรกิจโรงแรมมีการแข่งขันที่สูงมากขึ้นเรื่อย ๆ อีกทั้งมีโรงแรมใหม่ ๆ เกิดขึ้นใหม่มากมาย ที่ผ่านมาก็ได้มีการพยายามทุกวิถีทางเพื่อให้โรงแรมอยู่รอดได้มาโดยตลอด จนถึงวันนี้จำเป็นที่จะต้องประกาศหยุดดำเนินกิจการ การตัดสินใจครั้งนี้ถือว่าเป็นการตัดสินใจที่ยากที่สุดในชีวิตที่ผ่านมา
ก่อนหน้าที่จะมีการแถลงข่าวคุณเล็กได้มีการเรียกประชุมพนักงานเพื่อแจ้งถึงการตัดสินใจหยุดดำเนินธุรกิจโรงแรมดังกล่าว พร้อมกับแจ้งเรื่องว่าโรงแรมจะดูแลพนักงานโรงแรมทุกคนให้ได้รับเงินค่าชดเชยตามกฎหมาย และโรงแรมยังจะจ่ายเงินโบนัสให้กับพนักงานอีก 1 เดือน สำหรับพนักงานที่มีสิทธิ์ รวมทั้งพนักงานยังจะได้รับสินน้ำใจจากครอบครัวอีกจำนวนหนึ่งด้วย การเรียกประชุมพนักงานโรงแรมในครั้งนี้ ทางโรงแรมยังได้แจ้งถึงโอกาสในการได้รับพิจารณาเข้าทำงานสำหรับพนักงานที่สนใจจะทำงานต่อด้วยความร่วมมือของบริษัทพันธมิตรเครือ Accor
สำหรับธุรกิจกลุ่มเครือโรงพยาบาลกรุงเทพที่เป็นผู้เข้ามาซื้อที่ดินของโรงแรมในราคาสูงถึงกว่า 10,800 ล้านบาทนั้น มีการเปิดเผยจากสำนักข่าวอิศราว่า กลุ่มทุนจะใช้ที่ดินของโรงแรมจำนวน 15 ไร่ ไปพัฒนาเพื่อทำศูนย์สุขภาพแบบครบวงจร โดยวางแผนจะใช้เงินลงทุนเพื่อปรับปรุงที่ดินเพิ่มอีกกว่า 2,000 ล้านบาท และมีแผนที่จะพัฒนาให้เป็นศูนย์สุขภาพที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
หลายข่าวได้กล่าวถึงประวัติของโรงแรมสวิสโซเทล ปาร์ค นายเลิศว่าส่วนของเรือนไม้ด้านหลังที่เคยเป็นบ้านปัจจุบันได้กลายมาเป็นพิพิธภัณฑ์ได้ก่อตั้งมายาวนานถึง 130 ปี ผู้ก่อตั้งคือพระยาภักดีนรเศรษฐหรือเลิศ เศรษฐบุตร ส่วนของโรงแรมที่เป็นตึกด้านหน้านั้นก่อตั้งมาเป็นเวลา 36 ปี ที่ดินส่วนที่ขายให้กับกลุ่มโรงพยาบาลกรุงเทพนั้นเป็นที่ดิน 15 ไร่เฉพาะด้านหน้าที่เป็นโรงแรมเท่านั้น ที่ดินอีกส่วนที่เป็นเรือนไม้และร้านอาหาร Ma Maison จะยังเป็นของทายาทตระกูลอยู่
ทุกคนที่ได้อ่านข่าวนี้ต่างก็มีความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไป บางคนอดนึกถึงพนักงานโรงแรมกว่า 400 ชีวิตไม่ได้ ว่าจะมีกี่คนที่ต้องตกงานหลังจากโรงแรมปิดกิจการไป ที่บอกว่าบริษัทพันธมิตรอย่างเครือ Accor จะพิจารณาพนักงานเข้าทำงานต่อนั้น จะพิจารณารับเข้าทั้งหมดเลยหรือไม่ มีวิธีการเลือกอย่างไร บางคนก็นึกห่วงไปถึงมูลค่าที่ดินที่ขายได้ว่าเจ้าของโรงแรมจะต้องเสียภาษีเท่าไหร่กับดีลการขายที่ใหญ่ขนาดนี้ บางคนก็บอกว่าดีแล้วที่ขายไปเพราะหากบริหารให้ได้กำไรไม่ดี ปีหน้าที่จะใช้กฎหมายภาษีที่ดินตัวใหม่ ถึงเวลานั้นก็แย่เหมือนกัน ส่วนนักลงทุนในตลาดหุ้นต่างก็เป็นห่วงกับหุ้น BDMS ที่ถืออยู่ในมือว่าราคาจะร่วงลงไปเท่าไหร่ เมื่อต้องรับภาระที่ดินและการพัฒนาก่อสร้างด้วยงบประมาณมหาศาลที่ยังไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะเห็นกำไร
อ่านเพิ่มเติม : สมัครใจลาออก ได้เงินชดเชยอย่างไร ?
บางคนที่เคยไปใช้บริการของโรงแรมนี้มาก่อนต่างก็บ่นเสียดายกับความสวยงามของสวนของโรงแรม ทุกคนที่เข้าพักจะบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าเมื่ออยู่ในโรงแรมแห่งนี้ ความรู้สึกจะไม่เหมือนกับอยู่ใจกลางเมืองใหญ่เป็นโรงแรมแห่งหนึ่งที่ถือว่ามีสวนที่สวยงามและร่มรื่นมาก เงียบสงบและมีความเป็นธรรมชาติ ต้นไม้บางต้นมีอายุนานถึงกว่า 30 ปี หลายคนแอบเป็นห่วงว่าต้นไม้เหล่านี้จะถูกโค่นหรือตัดทิ้งไปหรือไม่ แต่ก็มีที่บางคนบอกว่าโรงแรมค่อนข้างเก่า ส่วนของล็อบบี้ที่เป็นส่วนกลางด้านล่างดูเงียบ ๆ ไม่ค่อยมีคน เพราะแขกเข้าพักน้อย
บางคนก็ช่วยวิเคราะห์ธุรกิจว่าที่โรงแรมสวิสโซเทล ปาร์ค นายเลิศไม่สามารถแข่งขันกับโรงแรมอื่นได้นั้น ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะโรงแรมตั้งอยู่ในทำเลที่ไม่เหมาะ เพราะไม่มีรถไฟฟ้าผ่านและห้างสรรพสินค้าหรือศูนย์การค้าที่อยู่ใกล้โรงแรมก็ไม่มี นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จึงเลือกเข้าพักในโรงแรมคู่แข่งที่อยู่ตามแนวรถไฟฟ้าและใกล้ศูนย์การค้าเพื่อสะดวกในการช้อปปิ้งเลือกซื้อสินค้าด้วย
บางความเห็นก็บอกว่าการที่เจ้าของโรงแรมตัดสินใจแบบนี้ถือว่าทำถูกต้องแล้ว เพราะในเมื่อธุรกิจโรงแรมไปได้ไม่ดี มีการแข่งขันกันสูง การเลือกขายที่ดินที่ทำให้ได้เงินมากถึง 10,800 ล้านบาท จะทำให้มีเงินไปชำระหนี้และยังมีเงินเหลืออีกมากสำหรับคืนผู้ร่วมทุนได้ ในขณะที่บางความเห็นก็บ่นเสียดายแทนเพราะโรงแรมเป็นมรดกตกทอดจากบรรพบุรุษที่สุดท้ายแล้วทายาทไม่สามารถรักษาไว้ได้
ด้วยข่าวเดียวกันนี้มีคนมองไปได้หลายมุมตามแต่ทัศนคติของแต่ละคนที่มี แต่อย่างไรมันก็คือเรื่องจริงที่เกิดขึ้น ทุกธุรกิจต่างก็มีวงจร มีขึ้นก็มีลงมีสถานการณ์ที่ผ่านเข้ามาให้ต้องปรับตัว ธุรกิจไหนปรับตัวได้ก็อยู่รอด ธุรกิจไหนปรับตัวแข่งขันไม่ได้ก็ต้องล้มหายไป ต่อไปชื่อของโรงแรมสวิสโซเทล ปาร์คนายเลิศก็จะเหลือไว้แค่เพียงความทรงจำเป็นเพียงอีกหนึ่งตำนานของธุรกิจที่ปิดฉากลงไปและมีธุรกิจใหม่เข้ามาแทนที่