ในยุคปัจจุบันเครื่องมือสื่อสารโทรศัพท์มือถือ หรือ Tablet หน้าจอเหล่านี้กลายเป็นอวัยวะของผู้ใหญ่อีกชิ้นและได้ลามมาถึงเด็กแล้ว เพราะเมื่อเราเล่น เด็ก ๆ เห็นก็อยากเล่นตาม หรือ คุณพ่อคุณแม่เปิดเพลงการ์ตูนให้ดูจาก www.youtube.com เพื่อเสริมพัฒนาการ เช่นเพลง ก.ไก่ เพลง ABC หรือ เพลงสนุก ๆ เป็นต้น แต่การเปิดคลิปให้ดูนี้เป็นอันตรายต่อสายตาเด็ก เพราะส่วนใหญ่จะถือไว้ใกล้ๆ เนื่องจากหน้าจอมือถือ หรือ Tablet มีแสงสีฟ้า
แสงสีฟ้า (Blue Light) คืออะไร แสงสีฟ้าคือแสงที่ผสมอยู่ในช่วงแสงสีขาว ที่มนุษย์มองเห็น โดยแสงขาวแบ่งได้ 7 สี คือ ม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด และ แดง แสงสีฟ้า จะผสมอยู่ในช่วงน้ำเงินกับคราม แสงสีฟ้า คือ คลื่นแสงพลังงานสูง ที่มีความยาวคลื่น 400-500 นาโนเมตร โดยแสงสีฟ้านั้นจะมีอยู่รอบตัวเรา พบได้ในแสงแดด หลอดไฟฟลูออเรสเซนส์ แต่ที่พบมากที่สุด คือ หน้าจอคอมพิวเตอร์, มือถือสมาร์ทโฟน และ แท็บเล็ต ที่นิยมใช้กันตลอดเวลามากกว่า อุปกรณ์ชนิดอื่นๆ ทำให้เป็นอันตรายต่อดวงตาของเรา อย่างที่เราคาดไม่ถึง
จากงานวิจัยทางการแพทย์พบว่า แสงสีฟ้า จะทำให้เซลล์ตายได้ เนื่องจาก แสงสีฟ้า มีพลังงานมากพอที่จะไปกระตุ้นให้เกิดสารอนุมูลอิสระ ภายในลูกตาแล้วสารอนุมูลอิสระ จะทำให้เซลล์จอประสาทตาตายได้ อาจส่งผลทำให้เกิด โรคจอประสาทตาเสื่อม คือ จะมีอาการมองภาพตรงกลางไม่ชัดเกิดการมองภาพบิดเบี้ยวไป เหมือนมีจุดดำบังตรงกลางภาพ และโรคนี้ ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แสงสีฟ้า” ยังถือเป็นเรื่องเล็ก แต่มีอีกประเด็นที่กำลังเป็นมหันตภัยเงียบ คือ “ตาขี้เกียจ” (Amblyopia)
“ตาขี้เกียจ” คือ ภาวะที่ตานั้นไม่ได้ใช้งานนานๆ มันจะหยุดการทำงานแค่นั้น เช่น ถ้ามีตาข้างหนึ่งดี อีกข้างมีสายตาสั้นมาก ๆ ร่างกายจะใช้ตาข้างที่ดี แล้วไม่ใช้ตาข้างสายตาสั้นมากๆ นั่นหมายความว่า ตาข้างนั้น อาจจะมองเห็นแค่นับนิ้วได้ ที่สำคัญคือ ไม่ว่าจะใช้การเลสิก หรือแว่นสายตา ก็ช่วยไม่ได้ ยกเว้นแต่แก้ไขก่อนอายุ 8 ขวบ สายตาขี้เกียจ มักเจอข้างเดียวมากกว่า 2 ข้าง แต่ผมก็เคยเด็กที่เป็นทั้งสองข้าง น่าสงสารมากเพราะเจอเมื่อตอนอายุ 12 ขวบไปแล้ว และเขาต้องเป็นอย่างนั้นไปตลอดชีวิต ซึ่งแนะนำว่า ควรจะป้องกันไว้ ตั้งแต่เนิ่น ๆ ตั้งแต่ยังเด็ก ๆ เลยดีกว่าผู้ปกครองท่านใด ที่เลี้ยงลูกด้วย มือถือ หรือ Tablet
ดังนั้นไม่ควรให้เด็กดูใกล้ ๆ ถ้าจำเป็นต้องให้ดูควรวางไว้ห่างสายตา และจำกัดเวลาการดูสั้น ๆ หรือใช้วิธีการให้ฟังแทนดู ไม่ควรให้เด็กจับอุปกรณ์เหล่านี้ นอกจากนี้การดูคลิปนาน ๆยังทำให้เด็กสมาธิสั้นไม่อดทน ถ้าสังเกตดี ๆ ขณะที่เด็กดูคลิปเขาจะจ้องดู เหมือนกับถูกสะกดจิตนิ่งไปเลย ยกเว้นบางครั้งที่อาจจะปรบมือ ยกมือดีใจเวลาดูคลิปสนุก ๆ คุณพ่อคุณแม่ควรหากิจกรรมอื่น ๆ ทดแทน อาทิเช่น
-
เล่นกับเขา
อาจจะเป็นตุ๊กตาที่สอนเรื่องสี รูปทรง สอนเขาให้นำรูปทรงวงกลม หรือ สี่เหลี่ยมเข้ารูช่องที่มีรูปทรงเดียวกัน ของเล่นที่เล่นกับเด็ก ๆ ควรมีคุณภาพปลอดสารพิษเพราะเด็ก ๆ อาจนำเข้าปากได้ การเล่นเป็นการสร้างปฎิสัมพันธ์ที่ดีกับลูกเป็นการเสริมพัฒนาการที่ดีที่สุด ได้สัมผัสจับมือ กอดเขา จะทำให้เขาได้รับรู้ถึงความรักและทำให้เขารู้จักการปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นดีขึ้น เราคงไม่อยากให้ลูกของเราเหม่อลอยเหมือนกับการดูคลิปในมือถือ หรือ Tablet
-
พาไปสูดอากาศที่สวนสาธารณะ
ทำให้เด็ก ๆ ได้รับแสงแดด อากาศสดชื่น ได้เห็นต้นไม้ใบหญ้า ได้เจอเด็ก ๆ คนอื่นเล่นทำให้เกิดการกระตุ้นพัฒนาการ รู้จักการเล่นกับเด็กคนอื่น มองสิ่งของต่าง ๆ ที่เคลื่อนไหว เช่น คนวิ่ง คนขี่จักรยาน เป็นต้น ซึ่งเป็นพื้นฐานก่อนการไปโรงเรียนได้ดี นอกจากนี้เด็ก ๆ ยังได้เห็นสิ่งของหรือสิ่งมีชีวิตหลากหลายภายในสวน ทั้งสัตว์ต่าง ๆ เช่น นก ปลา ซึ่งเราสามารถสอนคำศัพท์ให้เขาได้เรียนรู้ของจริงได้อีกด้วย
-
อ่านนิทานให้เขาฟัง
สอนเขาให้รู้จักรักการอ่าน เปิดหนังสือเป็น การอ่านหนังสือให้เขาฟัง ทำให้เขาได้เรียนรู้คำศัพท์ใหม่ ๆ ถืงแม้ว่าเขาจะไม่รู้เรื่องแต่เขาได้ฟังทุกวัน ได้ดูภาพประกอบที่มีสีสัน ทำให้เกิดจินตนาการและเซลล์สมองเกิดการพัฒนาได้เป็นอย่างดี โดยการเลือกเล่มนิทานควรเลือกที่ไม่มีคม ขอบมีความมนจะได้ไม่บาดมือ และควรเป็นกระดาษที่มีความแข็งเพื่อไม่ให้เด็ก ๆ ฉีกขาดง่าย นอกจากนี้เด็กเล็ก ๆ ชอบเลีย ควรหาซื้อหนังสือที่มีหมึกพิมพ์ถั่วเหลือง (Soy Ink) เพื่อความปลอดภัย คุณพ่อคุณแม่อาจสร้างความสนใจด้วยการอ่านด้วยเสียงสูง ๆ ต่ำ ๆ เพราะส่วนใหญ่เด็ก ๆ จะชอบเปิดหนังสือข้ามหน้าไปมาในขณะที่เรายังอ่านไม่จบหน้า แต่ปล่อยเขาไป เสร็จแล้วค่อยกลับมาเล่าใหม่ เขาจะได้ไม่คิดว่าเราไปบังคับเขาและเป็นการสร้างนิสัยรักการอ่าน
ผู้เขียน: