ใช้บ้านเปิดบริษัท เสียภาษีอย่างไร รวมสิ่งที่ควรรู้ก่อนใช้ที่อยู่อาศัยในการจดทะเบียนบริษัท
ในปัจจุบันมีผู้ที่ผันตัวมาเป็นของกิจการกันมากขึ้น เนื่องจากรู้สึกเบื่อกับวิถีชีวิตพนักงานเงินเดือน หรือพนักงานออฟฟิศที่ไม่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตสักเท่าไหร่ การได้เป็นเจ้าของกิจการนั้นจะช่วยให้เราสามารถทำอาชีพได้ตามความต้องการ ได้ทำในสิ่งที่ชื่นชอบ และยังได้ผลตอบแทนจากมันอีกด้วย การประกอบกิจการนั้นสามารถเป็นได้ทั้งกิจการเจ้าของคนเดียว หรือกิจการที่มีเจ้าของร่วมกันหลายคน หากต้องการทำให้กิจการของตนเองถูกต้องสิ่งที่ต้องทำก็คือการจัดตั้งนิติบุคคลนั่นเอง
การจัดตั้งนิติบุคคลหรือการจดทะเบียนเพื่อจัดตั้งห้างหุ้นส่วนจำกัดรวมไปถึงบริษัทนั้นสิ่งสำคัญที่จะต้องใช้ในการจดทะเบียน ก็คือสถานประกอบการนั่นเอง โดยจะถูกระบุเอาไว้ในหนังสือบริคณห์สนธิ คำขอจดทะเบียน และเอกสารบอจ. 3 สำหรับคนที่เริ่มต้นประกอบกิจการใหม่ ยังไม่มีพื้นที่ในการประกอบกิจการเป็นหลักเป็นแหล่งหรือไม่ก็ใช้ที่อยู่อาศัยของตัวเองในการประกอบกิจการก็อาจจะเลือกใช้บ้านหรือที่อยู่อาศัยของตนเองในการจดทะเบียนบริษัท
แต่สิ่งที่จะตามมาจากการเลือกใช้บ้านหรือที่อยู่อาศัยของตนเองในการจดทะเบียนบริษัทก็คือการเสีย ภาษี นั่นเอง นั่นก็เป็นเพราะว่าตามกฎหมายว่าด้วยการเสียภาษีในประเทศไทยแล้วมีภาษีอยู่หลายประเภทโดยเฉพาะภาษีเกี่ยวกับที่อยู่อาศัยหรืออาคาร อย่างเช่นภาษีโรงเรือน ภาษีค่าเช่า ภาษีที่ดิน เราจึงจะพาทุกคนมาดูกันว่าการใช้บ้านเปิดบริษัท เสียภาษีอย่างไร มีอะไรที่เราควรรู้ก่อนบ้าง
ใช้บ้านเปิดบริษัท เสียภาษีอย่างไร ทำความเข้าใจเกี่ยวกับการเสียภาษีกัน
การใช้บ้านเปิดบริษัท เสียภาษีมีความเกี่ยวข้องกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะหากคุณกำลังจัดตั้งกิจการหรือเป็นกิจการ START UP ที่ในตอนแรกเริ่มต้นจากภายในบ้านของตนเองแล้วต้องการจัดตั้งนิติบุคคลไม่ว่าจะเป็นการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนจำกัดก็ตาม เราจะต้องยื่นคำขอจดทะเบียนบริษัทจำกัดหรือขอจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนจำกัด ในเอกสารคำขอจดทะเบียนบริษัทจำกัดอาจจะไม่ได้มีให้เราระบุที่อยู่ของกิจการ แต่ในหนังสือรับรองและหนังสือบริคณห์สนธินั้นจะมีช่องให้เราระบุถึงที่อยู่ของกิจการอย่างชัดเจน ไม่เพียงเท่านั้นเรายังต้องวาดแผนที่ที่ตั้งบริษัทอีกด้วย
โดยการใช้บ้านเปิดบริษัทนั้นสามารถใช้ได้ทั้งบ้าน และคอนโดมิเนียม ในอดีตนายทะเบียนจะไม่ค่อยรับจดทะเบียนหากสถานประกอบการเป็นคอนโดมิเนียม หรือห้องพักเนื่องจากไม่ใช่พื้นที่ที่เหมาะสำหรับการประกอบกิจการแต่อย่างใด ยกเว้นพื้นที่ให้เช่าใต้คอนโดมิเนียมที่มีเลขรหัสประจำบ้านก็จะสามารถใช้ในการจดทะเบียนได้เช่นเดียวกัน
ข้อดีของการใช้บ้านเปิดบริษัท
ข้อดีสำหรับการใช้บ้านจดทะเบียนบริษัทก็คือเจ้าของบ้าน หรือเจ้าของสถานที่สามารถเรียกค่าเช่าจากผู้ที่ขอใช้สถานที่ในการเปิดกิจการได้ ในกรณีที่พื้นที่ที่เราใช้จดทะเบียนบริษัทนั้นไม่ใช่ที่ของเรา แต่ข้อเสียสำหรับการใช้บ้านจดทะเบียนบริษัทก็มีเช่นเดียวกันเพราะจะเป็นการเปิดเผยข้อมูลกับสถาบันการเงิน มูลนิธิ สมาคม หรือการกุศลให้สามารถค้นหาที่อยู่อาศัยของเราได้อย่างง่ายดาย สามารถส่งเอกสารหรือจดหมายมายังบ้านของเราได้โดยตรง
หากบริษัทของเรามีการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มก็อาจจะถูกตรวจสอบสถานประกอบการได้ นอกจากนี้เจ้าของสถานที่ยังอาจจะถูกประเมินสำหรับการเสียภาษีโรงเรือนในการให้เช่าซึ่งอัตราภาษีนั้นจะแตกต่างจากภาษีบุคคลธรรมดาหรือภาษีเพื่อที่อยู่อาศัยทั่วไป
ในส่วนของการเสียภาษีนั้นหากเจ้าของบ้านเป็นผู้ให้เช่าเพื่อให้บริษัทใช้พื้นที่ในการประกอบกิจการ และมีรายได้จากค่าเช่า จะต้องระบุลงไปในสัญญาเช่าด้วย เจ้าของบ้านจะต้องทำการยื่นทั้งภาษีโรงเรือน ภาษีค่าเช่า และภาษีบุคคลธรรมดา
นอกจากนี้ยังรวมไปถึงภาษีที่ดินตามที่กำหนดเอาไว้ในกฎหมาย โดยอัตราภาษีโรงเรือน และที่ดินนั้นจะต้องชำระอยู่ที่ 12.5% จากราคาประเมินของสินทรัพย์โดยให้ชำระเป็นรายปี อย่างเช่นหากบ้านของเรามีราคาประเมินอยู่ที่ 1 ล้านบาทภาษีที่จะต้องเสียจะอยู่ที่ประมาณ 125,000 บาท
ถึงตรงนี้เราก็อาจจะต้องมาคำนวณกันว่าระหว่างการเสียภาษีประมาณปีละ 125,000 บาทกับการเช่าออฟฟิศเดือนละ 15,000 บาทขึ้นไปอะไรจะคุ้มค่ากว่ากัน หากการจดที่อยู่บริษัทเป็นบ้านของตนเองประหยัดมากกว่าและเราสามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ก็นับว่าเป็นทางเลือกที่ดีไม่น้อยเลยทีเดียว
สรุปแล้วการใช้บ้านเปิดบริษัท ก็ถือว่าเป็นวิธีการจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคลที่มีทั้งข้อดี และข้อเสียที่เราจะต้องพิจารณากัน ไม่ว่าจะเป็นจะใช้บ้านหลังไหน ใครเป็นเจ้าของบ้าน ต้องเสียค่าเช่าหรือไม่ หากไม่ต้องเสียค่าเช่าต้องเสียภาษีเท่าไหร่ เป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องคำนวณเพราะมันก็นับว่าเป็นหนึ่งในต้นทุนสำหรับการประกอบกิจการด้วยเช่นเดียวกัน
อย่างเช่น หากคุณมีรายได้เดือนละ 300,000 บาท ปีหนึ่งจะมีรายได้ 3,600,000 บาท มีต้นทุนในการผลิตหรือการขายสินค้ารวมไปถึงการให้บริการไม่รวมสถานที่อยู่ที่ 2 ล้านบาท หากเราใช้บ้านในการเปิดบริษัทจะต้องเสียภาษีประมาณปีละ 250,000 บาทหากบ้านหลังนั้นมีมูลค่าประเมิน 2 ล้านบาท เท่ากับว่าเราจะเหลือกำไรอยู่ที่ 1,350,000 บาท แต่หากเราเลือกที่จะเช่าออฟฟิศค่าเช่าปีละ 240,000 บาท ก็จะช่วยให้เรามีประหยัดได้เพิ่มขึ้นอีกปีละ 10,000 บาทเลยทีเดียว ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความสะดวกของแต่ละบุคคลด้วย