หากพูดถึงรถไฟฟ้าที่ออกสู่ตลาดโลกหลังปี 2000 ที่ผ่านมา เราอาจเห็นหลายค่ายยี่ห้อรถยนต์ที่พยายามพัฒนารถยนต์ระบบไฟฟ้า ที่อยู่ในพื้นฐานการใช้งานจริงในอนาคต นั้นคือ ปลอดควันพิษ เสียบปลั๊กไฟชาร์จแล้วก็วิ่งได้เลย หลายค่ายพัฒนาต้นแบบได้สำเร็จ ถึงเวลานี้ก็แทบจะทุกแบรนด์ชั้นนำของโลกที่สามารถผลิตรถไฟฟ้าด้วยเทคโนโลยีของตัวเองได้ เพียงแต่มีน้อยรายมาก ๆ ที่สามารถพัฒนารถจนสามารถมีราคาและสมรรถนะอยู่ในระดับที่ใช้งานได้จริงได้ จะว่าไปแล้วก็มีเพียงสองยีห้อ นั่นคือ Nissan และ Tesla นี่เอง
ที่ไม่กล่าวถึงรถหลาย ๆ ยี่ห้อที่มีวางจำหน่ายแล้ว อย่างเช่น BMW i8 เพราะสมรรถนะยังเทียบไม่ได้กับรถใช้น้ำมันที่มีระดับราคาเดียวกันนั่นคือซุปเปอร์คาร์ อีกทั้งไม่ใช่รถทีออกแบบมาเพื่อการใช้งานในแบบที่เรียกว่า “จริงจัง” ในชีวิตประจำวันสักเท่าไหร่ จึงขอละไว้
การผลิตรถไฟฟ้าของหลายค่ายรถยนต์ประสบปัญหาเรื่องข้อจำกัดของแบตเตอรี่ ระบบการประจุไฟ น้ำหนักรถที่หนักมากกว่ารถน้ำมัน ทำให้แฮนด์ลิ่งการขับขี่ไม่บาลานซ์ ขับแล้วรู้สึกไม่ปลอดภัยที่ความเร็วสูง บางยี่ห้อจำกัดความเร็วสูงสุดไว้เพียง 60 กม/ชม เท่านั้น เหตุเพราะเกรงอันตราย หลายค่ายมุ่งพัฒนาระบบช่วงล่างแบบใหม่ ซึ่ง ณ ปัจจุบันยังไม่มีให้เห็นจากค่ายไหน การประจุไฟแบบดั้งเดิมก่อให้เกิดความร้อนสูญเสียมาก การชาร์ตเร็วสร้างความเสี่ยงอันตรายจากการลัดวงจรทำให้เกิดไฟไหม้ได้ รถหลายรุ่นอาจต้องชาร์ตกันไม่น้อยกว่า 8 ชั่วโมง ชาร์ตต่อครั้งวิ่งได้ไม่ถึงร้อยกิโลเมตร ด้วยปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้นี่เองที่ทำให้การผลิตรถไฟฟ้าแบบที่เรียกว่า Commercialized Electric Vehicle นั้นเหลือเพียงสองค่ายที่ทำได้สำเร็จ คือ Nissan รุ่น Leaf และ Tesla S นั่นเอง
เมื่อไม่นานมานี้ Tesla Motor ได้ออกรถรุ่นใหม่ Tesla Model 3 (เดิมชื่อ Model E โดยมี Codename ว่า Tesla Bluestar) ภายใต้ความมุ่งมั่นที่จะผลิตรถไฟฟ้าสมรรถนะเยี่ยมในราคาที่สมเหตุสมผล และคนทั่วไปสามารถเป็นเจ้าของได้ ราคาที่เปิดตัวอยู่ที่ 35,000 USD ตกราว ๆ หนึ่งล้านบาทไทย เมื่อเทียบกับสเปคแล้ว ถือว่าเป็นราคาที่ถูกมาก สามารถเทียบกับรถที่ใช้น้ำมันได้เลย ที่สำคัญราคาที่เปิดตัวนี้ยังไม่มีเงินส่วนสนับสนุนจากรัฐบาล (ซึ่งโดยปกติจะได้รับการยกเว้นภาษีต่าง ๆ รวมถึงได้เงินสนับสนุนด้วย) ซึ่งคาดว่าจะถูกลงอีก รถเปิดตัวแล้วพร้อมส่งภายในปี 2017 นี้ ด้วยยอดจองถล่มทลายกว่าแสนคันภายในวันเดียว ถือเป็นสถิติสูงสุดในประวัติการณ์ของโลกเลยทีเดียว
ความน่าสนใจของ Tesla Model 3 นั้น เริ่มจากเสปคและรูปลักษณ์สุดเร้าใจ เริ่มจากรูปร่างหน้าตาที่มี DNA มาจากรุ่นพี่ Model S แต่ในขนาดที่คอมแพคกว่า การไม่มีกระจังหน้าถือเป็นความท้าทายรูปลักษณ์เดิม ๆ ของรถ แต่ในเมื่อเป็นรถไฟฟ้า จึงไม่ต้องการแผงกระจังหน้าเพื่อรับลมระบายความร้อน Tesla ก็กล้าที่จะเอามันออกไป ทำให้ Model 3 ดูสวยแปลกตาและโดดเด่นบนท้องถนน ระบบชาร์ตไฟแบบ Supercharger Network ซึ่งเทสล่าวางแผนจะติดตั้งสถานีชาร์จไฟแบบนี้ 7,200 แห่งทั่วโลกภายในปี 2017 และขยายเป็น 15,000 แห่งในปีต่อ ๆ ไป การชาร์ตไฟหนึ่งครั้งสามารถวิ่งได้ราว 350 กิโลเมตร (215 ไมล์)
Tesla Motor เปิดให้จองผ่านทางเว็บไซด์ในวันที่ 31 มีนาคมที่ผ่านมาด้วยเงิน 1,000 USD เพียงสี่วันหลังจากให้เปิดจอง มีผู้ให้ความสนใจเข้าชื่อจอง Model 3 มากถึง 276,000 คัน รวมยอดจองเป็นมูลค่ารถถึง 10,000 ล้านเหรียญ ซึ่งทาง Tesla Motor ได้วางแผนผลิตอย่างเต็มกำลังปลายปี 2017 และได้โปรเจคส่งของภายในปี 2020
CEO ของ Tesla Motor ได้กล่าวว่า Tesla Model 3 เป็นแผนขั้นที่ 1 จากบันได 3 ขั้นของเทสลาที่จะผลิตรถไฟฟ้าที่ราคาถูกลงมาอีก ในขณะที่รุ่นแรก Rodester และ Model S มียอดขายพอสำหรับค่าใช้จ่ายในการค้นคว้าวิจัย Battery และ Electric Drivetrain Technology แล้ว การจะทำกำไรให้บริษัท Tesla Motor ได้ จะต้องขาย Model 3 ให้ได้ 500,000 คัน ซึ่งถึงวันนี้แล้วยอดจอง Model 3 คงตอบคำถามเรื่องกำไรของบริษัทแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย
น่าเสียดายสำหรับประเทศไทยเสมอสำหรับการได้ใช้รถที่ดี สมรรถนะสูง และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมร้อยเปอร์เซ็นต์อย่าง Tesla เมืองไทยมักมีกำแพงภาษีแบบผิดธรรมชาติเสมอสำหรับรถยนต์คุณภาพเยี่ยมจากยุโรป ทำให้รถยนต์ที่มีพื้นฐานช่วงล่าง เครื่องยนต์ และเพลาเดี่ยวเหมือน ๆ กันที่มาจากยุโรปและอเมริกามีราคาสูงกว่าจนไม่สามารถทำตลาดตีรถญี่ปุ่นได้ ส่วนรถยนต์ไฟฟ้าแบบร้อยเปอร์เซนต์นั้น ถึงแม้ว่าเมืองไทยเรายังไม่รู้อนาคตที่ชัดเจนเกี่ยวกับข้อกำหนดกฎหมายว่าจะมีอัตราภาษีเท่าไหร่ รัฐบาลจะจริงจังกับการส่งเสริมให้คนไทยได้ใช้รถที่ปลอดมลพิษแบบ 0% อย่างเทสล่าได้แค่ไหน (หรือจะรอให้บริษัทรถจากค่ายญี่ปุ่นทำตลาดเมืองไทยอย่างจริงจังก่อน แล้วค่อยคิดเรื่องกฏหมายอีกที) ก็คงต้องดูกันไป