มีข้อมูลออกมาจากหลายแหล่งข่าว ถึงสภาพคล่องทางเศรษฐกิจของไทยในปีหน้า ตามที่เราได้เห็นกันจากหน้าหนังสือพิมพ์ฉบับต่างๆ รวมไปถึงข่าวสารตามอินเตอร์เน็ตที่กระหน่ำโพสต์กันรัวๆ ถึงสถานการณ์ที่ค่อนข้างซบเซาในปัจจุบัน ซึ่งนี่ก็คือสถานการณ์ เศรษฐกิจไทย ในปัจจุบันและยังมีแนวโน้มของอนาคตว่าเศรษฐกิจอาจจะย่ำแย่ลงกว่าเดิมได้ หากไม่รีบแก้ไขตั้งแต่ตอนนี้ ซึ่งก็จะส่งผลต่อประชาชนโดยทั่วไปมากทีเดียว
จะเห็นได้ว่าบรรดาพ่อค้าแม่ขายต่างๆเริ่มประสบกับสภาวะขาดทุน และทยอยปิดกิจการกันมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะสู้กับเศรษฐกิจของประเทศในช่วงนี้ไม่ไหว ทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาคธุรกิจรวมไปถึงเหล่าบรรดามนุษย์เงินเดือน ต่างก็พากันระมัดระวังในเรื่องค่าใช้จ่ายกันอย่างเต็มที่ เนื่องจากทางธนาคารโลกได้ประเมินเศรษฐกิจภายในปีหน้าเอาไว้ว่า จะมีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าปีนี้อย่างแน่นอน คิดเป็นร้อยละ 2 ซึ่งถือว่าต่ำกว่าปี 2558 เสียอีก
ซึ่งบรรดากูรูด้านเศรษฐกิจภายในประเทศไทยเองก็ได้ทำการประเมินเอาไว้ด้วยเช่นกัน ว่าทิศทาง เศรษฐกิจไทย นับจากปี 2559 เป็นต้นไปจนถึงปี 2562 ไทยจะเผชิญหน้ากับเศรษฐกิจขาลงอย่างยาวนาน และมีโอกาสฟื้นตัวได้ยากยิ่ง เนื่องจากมีผลกระทบมาตั้งแต่ช่วงวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ยาวนานมาจนถึงปัจจุบัน
โดยทางนักเศรษฐศาสตร์ได้ทำการเปรียบเทียบเศรษฐกิจไทยในช่วงเวลานี้ ว่ามีลักษณะคล้ายตัว U หรือเป็นแผนภูมิรูปฟันปลา เพราะในบางช่วงก็เหมือนเศรษฐกิจกำลังดีขึ้น แต่ไม่นานก็ร่วงดิ่งลงไป ผลัดกันขึ้นผลัดกันลง ลวงตากันอย่างนี้ไปเรื่อยๆ และจะเกิดปัญหาตามมาอีกไม่รู้จบ
นอกจากนี้การวิจัยสภาพเศรษฐกิจยังหมายรวมไปถึงเรื่องอื่นๆอีกด้วย เนื่องจากมีการคาดการณ์กันไว้ว่า ในอีกไม่เกิน 20 ปีข้างหน้า ประเทศไทยจะเข้าสู่สังคมที่เต็มไปด้วยผู้สูงอายุ เพราะวิทยาการทางการแพทย์สูงขึ้น ทำให้ประชากรไทยอายุยืน และผลจากการแต่งงานมีครอบครัวที่น้อยลงในวัยทำงาน จะส่งผลให้มีคนในวัยทำงานน้อยกว่าปริมาณผู้สูงอายุ ซึ่งจะทำให้เกิดสภาวะเศรษฐกิจถดถอยมากขึ้นไปอีกจนฉุดไม่อยู่ รวมไปถึงปริมาณการส่งออกที่ลดลงไปมากในรอบปีที่ผ่านมา ส่งผลให้มีรายได้เข้าสู่ประเทศน้อยลง เพราะผลิตผลในภาคเกษตรกรรมนั้นมีน้อยลงจนไม่เพียงพอสำหรับการส่งออกสู่ตลาดต่างประเทศ โดยมีผลมาจากสภาพอากาศ และประชากรวัยหนุ่มสาวนิยมละทิ้งถิ่นฐานไปประกอบอาชีพในถิ่นอื่น โดยไม่มีความคิดที่จะสานต่อหรือพัฒนาการเกษตรที่เคยเป็นธุรกิจเล็กๆภายในครัวเรือนกันอีกต่อไป
ส่วนภาคเศรษฐกิจที่ยังพอขยายตัวได้บ้าง และมีแนวโน้มว่าจะสูงขึ้นเรื่อยๆในแต่ละปี ก็คือเศรษฐกิจด้านการท่องเที่ยว เพราะในช่วงสามปีที่ผ่านมา มีอัตรานักท่องเที่ยวจากประเทศจีนเพิ่มมากขึ้นเป็นประวัติการณ์ โดยมีบัญชีนักท่องเที่ยวมากเป็นอันดับหนึ่งของนักท่องเที่ยวจากประเทศอื่นๆ ดังนั้นจึงพอเห็นได้ว่าในความโชคร้าย ไทยของเราก็ยังมีความโชคดีหลงเหลืออยู่บ้าง ซึ่งเราสามารถนำรายได้จากการท่องเที่ยวมาพยุงเศรษฐกิจได้ในระดับหนึ่งเลยทีเดียว
ส่วนหนึ่งมาจากตลาดหุ้นในจีนครึ่งปีแรก ที่สูงขึ้นจนเกิดรายได้สะพัด ส่งผลให้นักท่องเที่ยวชาวจีนมีเงินเพียงพอที่จะใช้จ่ายในการท่องเที่ยวประเทศต่างๆได้มากยิ่งขึ้น แต่ข่าวการระเบิดที่ราชประสงค์ครั้งล่าสุด ทำให้นักท่องเที่ยวชาวจีนบางส่วนชะลอความคิดที่จะเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยไว้ชั่วคราว ทำให้เศรษฐกิจที่กำลังมีแนวโน้มว่าจะไปได้สวยในอนาคต ต้องซบเซาลงอีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้
โดยทางทีมเศรษฐกิจใหม่ได้หาแนวทางในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจขาลงไว้ดังนี้
- เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในด้านการส่งออก และในภาคชนบท ทางธนาคารรัฐจะทำการปล่อยให้กู้กองทุนหมู่บ้าน และนำโครงการ 1 ตำบล 1 ผลิตภัณฑ์กลับมาปรับใช้อีกครั้ง เพื่อดึงกลุ่มหนุ่มสาววัยทำงานที่ขาดความมั่นคงกลับคืนเป็นกำลังสำคัญในท้องถิ่นภูมิลำเนาต่อไป
- มีมาตรการที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจภาคอสังหาริมทรัพย์ โดยอนุญาตให้มีการนำยอด 20% ของราคาบ้านและที่ดินมาใช้ในการลดหย่อนภาษีได้ ,รวมไปถึงการลดค่าโอน ค่าจำนอง ค่าธรรมเนียมต่างๆ และใช้ลดภาษีเงินได้นิติบุคคลธรรมดาได้อีกด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อช่วยเหลือประชาชนนั่นเอง
และนี่คือแนวทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ที่ทางรัฐบาลได้ร่างไว้คร่าวๆ และคิดว่าจะนำมาใช้ในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจในไม่นานนี้ ซึ่งจะได้ผลมากน้อยแค่ไหนนั้น ก็คงต้องติดตามดูกันไป ยังไงก็ตามรัฐบาลยังคงมองหาหนทางอื่นๆ ที่จะช่วยฟื้นฟู เศรษฐกิจไทย อย่างไม่หยุดหย่อน เพื่อให้เศรษฐกิจของเรากลับมามั่นคงดังเดิม
อ่านเพิ่มเติม >> 7 ไอเดียธุรกิจ พลิกวิกฤต ช่วงเศรษฐกิจขาลง <<
อย่างไรก็ตาม โครงการเหล่านี้ก็ยังเป็นเพียงแค่ความคิด ทางทีมเศรษฐกิจจึงเอ่ยปากเตือนไว้ก่อนว่า เศรษฐกิจไทย จะประสบกับสภาวะแบบนี้ไปอีกยาวนานถึง 5 ปี หากมาตรการในการเรียกเก็บภาษีไม่ตรงไปตามเป้าหมาย โอกาสที่เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวก็ยากขึ้นเป็นเงาตามตัวด้วยเช่นกัน
ดังนั้น สิ่งที่เจ้าของกิจการขนาดเล็กและมนุษย์เงินเดือนควรระมัดระวังเป็นอย่างยิ่งก็คือ การวางแผนค่าใช้จ่ายอย่างรัดกุม และหารายได้จากแหล่งสำรองไว้รอท่า นอกจากนี้การเก็บออมเงินก็นับว่าสำคัญ ทั้งนี้ก็เพื่อให้ประชาชนมีเงินสำรองไว้ใช้อย่างต่อเนื่อง ก่อนที่วิกฤติเศรษฐกิจครั้งยิ่งใหญ่จะเดินทางมาถึงในเร็ววันนี้ และทุกคนจะเจอกับภาวะการณ์ที่ย่ำแย่ได้นั่นเอง