หากกล่าวถึงความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของคนไทยในปัจจุบันแล้ว นับว่ามีจำนวนมากและความรุนแรงมีมากขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ ถ้าจะหาเหตุผลความสัมพันธ์ว่าเหตุใดจึงมีการลักวิ่งชิงปล้นมากไปกว่าเดิมนั้น ปัจจัยอันดับต้น ๆ ที่เป็นตัวการคงหนีไม่พ้นเรื่องภาวะเศรษฐกิจ หรือเงินเลี้ยงปากเลี้ยงท้องที่เป็นปัญหารากเหง้า หรือ Root Cause ของมัน แต่แท้จริงแล้วเป็นอย่างไร การกล่าวโทษเรื่องเศรษฐกิจนั้นถูกต้องแล้วหรือไม่ นั่นเป็น ปัญหาที่เกิดจากเศรษฐกิจ จริงแล้วหรือ เราต้องมาวิเคราะห์กันจริง ๆ
ถ้าเด็กอายุ 15 ปีคนหนึ่งหาเลี้ยงชีพด้วยการลักเล็กขโมยน้อยเป็นหลัก เพราะเห็นพ่อแม่ เพื่อน ๆ และสังคมรอบข้างทุกคนทำกันหมดตั้งแต่เด็ก มองเห็นอาชญากรรมเป็นเรื่องปกติ เมื่อมีจังหวะสบโอกาสเมื่อไหร่เป็นต้องก่ออาชญากรรม เมื่อเด็กคนนี้โตขึ้นอีกก็จะยังคงก่ออาชญากรรมเช่นเดิม เพราะสังคมรอบข้างได้หล่อหลอมเขาเป็นแบบนั้นแล้ว สุดท้ายเด็กคนนี้ทั้งชีวิตก็จะเวียนวนเข้าออกคุกตลอดไปเพราะเขาไม่เคยมีโอกาสได้ก้าวข้ามผ่านสังคมที่ฟอนเฟะนั้นมาได้
หากพิจารณาตัวอย่างสุดโต่งของเด็กชายวัย 15 ปีรายนี้ ก็จะพบว่ารากเหง้าของปัญหานั้นใหญ่กว่าระบบเศรษฐกิจ นั่นคือเรื่องของปัญหาสังคม ไล่เรียงมาตั้งแต่สังคมโลกที่ครอบงำด้วยระบบทุนนิยม ทำให้สังคมประเทศยังไม่พัฒนาอย่างประเทศไทยมีค่านิยมยกย่องคนมีเงิน โดยไม่สนใจที่มาของเงิน การมีบ้านที่อยู่อาศัยหรือแม้แต่การรักษาพยาบาลทุกวันนี้ล้วนฟุ้งเฟ้อไปถึงระดับสูงมาก ๆ จนทำให้การรับรู้โดยทั่วไปในสังคมเอนเอียงไปในทางฟุ้งเฟ้อ ทั้งที่สถานะจริง ๆ ของคนที่สามารถซื้อบ้านหรือเข้ารักษาโรงพยาบาลระดับนั้นมีอยู่เพียงส่วนเดียว แต่ดีมานด์หลอก ๆ ได้สร้างภาพฝันให้คนไม่มีก็อยากมีเช่นนั้นด้วย คนมีน้อยแต่ถูกภาพมายาและความไม่แน่ใจสร้างภาพให้ต้องขวนขวายเข้ารักษาพยาบาลที่ดีที่สุดทั้ง ๆ ที่อาจไม่จำเป็น ไม่ต้องพูดถึงคนที่ยากจนจริง ๆ ที่แม้แต่จะหาที่พักอาศัยให้ถูกสุขลักษณะนอนยังไม่ได้ ถ้าสิ่งแวดล้อมและสังคมรอบข้างเหมือนว่าจะไม่เอื้อโอกาสให้กับคนจน และหากสถาบันครอบครัวนั้นไม่มีความแข็งแรงพอยืนหยัดต่อสู้กับความจำเป็นต้องการในปัจจัยสี่แล้วล่ะก็ อาชญากรรมย่อมเกิดขึ้นอย่างไม่มีวันจบสิ้น
ถึงแม้ว่าอาชญากรรมมีรากเหง้าจากปัญหาสังคมเป็นหลัก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเรื่องเศรษฐกิจปากท้องเป็นตัวขับดันสำคัญ เพราะหากทุกคนมีสัมมาอาชีพเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง อัตราอาชญากรรมก็จะลดลง ลักษณะของอาชญากรรมในแต่ละพื้นที่แต่ละประเทศนั้นก็มีความแตกต่างกัน ถ้าหากเป็นอาชญากรรมส่วนที่เกิดจากปัญหาเศรษฐกิจเป็นหลัก สำหรับประเทศไทยอาชญากรรมจะเป็นการลักวิ่งชิงปล้นเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่หากเป็นประเทศบราซิลก็จะถูกดึงเข้าไปพัวพันกับการค้ายา และหากเกิดในเสปนก็จะเป็นลักษณะของการล้วงตกทรัพย์และโกงเล็กโกงน้อยเป็นต้น หากสังเกตให้ดี จุดร่วมของอาชญากรรมที่เกิดจากปัญหาเศรษฐกิจนั้นเกิดเมื่อสบโอกาส ซึ่งอาจไม่ได้มีการวางแผนล่วงหน้า ขนาดหรือความรุนแรงของอาชญากรรมจึงไม่รุนแรง แต่ถ้าปัญหาเศรษฐกิจนั้นกินเวลานานต่อเนื่อง ประกอบกับมาตรการด้านความปลอดภัยของรัฐไม่เข้มแข็ง ลักษณะของอาชญากรรมจะทวีความรุนแรงขึ้น
เมื่อได้เห็นปัญหาและการพัฒนาการของปัญหาแล้ว อีกทั้งแนวโน้มเศรษฐกิจของเมืองไทยยังไม่มีเห็นสัญญาณชัดเจนว่าดีขึ้น ประกอบกับมาตรการรัฐและกฎหมายถูกระบบทุนนิยมทำให้ผิดรูปร่างเอื้อประโยชน์ให้ระบบทุนเป็นสำคัญ สิ่งที่เป็นการสร้างมาตรการความปลอดภัยจึงเกิดจากหน่วยย่อยต่าง ๆ ของรัฐและภาคเอกชนช่วยกัน หากไม่นับรวมถึงตำรวจซึ่งมีหน้าที่หลักคือดูแลความปลอดภัยของประชาชนแล้ว หน่วยงานอื่น เช่น สำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติดก็ดูแลรณรงค์เรื่องยาเสพติด สสส.ก็ดูแลรณรงค์การงดเหล้าและเสริมสร้างสุขภาพ กรุงเทพมหานครก็ดูแลจัดสรรเรื่องการออกกำลังกายเต้นแอโรบิก เป็นต้น ทั้งนี้ทุก ๆ หน่วยงานของรัฐก็ช่วยจัดกิจกรรมรณรงค์เพื่อช่วยแก้ปัญหาสังคมในส่วนที่หน่วยนั้น ๆ ดูแล ซึ่งก็ต้องดูแลพัฒนากันต่อไป
การเสริมสร้างมาตรการความปลอดภัยเป็นปราการด่านสุดท้ายที่ป้องกันการเกิดอาชญากรรม หน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรงคือสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งประชาชนทั่วไปคงไม่มีใครทราบได้ เนื่องจากเป็นเรื่องของนโยบายการจัดการเป็นหลัก ไม่ได้มีโครงการประชาสัมพันธ์ให้เห็นเด่นชัดเหมือนโครงการฝากบ้านกับตำรวจ ส่วนของกรุงเทพมหานครเองก็ดูแลเรื่องกล้องวงจรปิดและดูแลพื้นที่รกร้างที่อาจเป็นแหล่งก่ออาชญากรรม การไฟฟ้าก็ต้องดูแลให้แสงสว่างส่วนที่เป็นจุดเสี่ยง ส่วนภาคเอกชนเองก็เช่นเดียวกัน บริษัทห้างร้านก็อาจให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่รัฐและดูแลตัวเองได้ด้วยการติดตั้งกล้องวงจรปิด ซึ่งสามารถช่วยลดจำนวนอาชญากรรมได้ การจ้างยามสำหรับห้างร้านโรงงานก็เป็นสิ่งจำเป็น ส่วนบริษัทที่มีขนาดเล็กอาจเลือกใช้บริการบริษัทรักษาความปลอดภัยแบบเต็มระบบ หากมีการงัดแงะหรือไฟไหม้ก็จะเข้าถึงพื้นที่ภายใน 5-10 นาที เป็นต้น
อาชญากรรมที่เห็นตามข่าวหลาย ๆ ครั้งเกิดขึ้นซ้ำ ๆ ทั้งรูปแบบและสถานที่ มีการปล้นจี้ร้านสะดวกซื้ออยู่แทบจะทุกคืน ในเมื่อรู้ว่าอาชญากรรมนี้เกิดขึ้นบ่อยและง่าย ภาครัฐก็ต้องดูแลหามาตรการให้เหมาะสม เจ้าของกิจการเองก็ต้องหาทางป้องกันตัวเองด้วยเช่นกัน ไม่ควรหวังพึ่งรัฐแต่เพียงอย่างเดียว ประชาชนทั่วไปก็ต้องมีความตื่นตัวตระหนักรู้ถึงจุดเสี่ยงจุดอันตราย นอกจากหลีกเลี่ยงไม่เข้าไปอยู่ใกล้จุดเสี่ยงแล้ว ก็ต้องช่วยกันเป็นหูเป็นตาดูแลกันเองในชุมชน อีกทั้งต้องทำตัวไม่ให้เป็นจุดสนใจดึงดูดให้อันตรายเข้ามาหาตัว เช่น ดูแลเรื่องการแต่งตัวให้มิดชิด และใส่เครื่องประดับของใช้ให้เหมาะสม เดินทางมีสติไม่จดจ่อกับโทรศัพท์ สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เป็นส่วนช่วยไม่ให้อาชญากรรมที่เกิดจากการสบโอกาสเกิดขึ้นกับตัวเราได้ เป็นปัจจัยสำคัญในการการช่วยลดจำนวนอาชญากรรมได้ หากทุกหน่วยทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงประชาชนทุกคนเข้าใจและตระหนักถึงความสำคัญแล้ว ย่อมช่วยกันให้สังคมน่าอยู่และปลอดภัยขึ้นได้
อ่านเพิ่มเติม : 5 ข้อแตกต่างระหว่าง คนรวยกับคนจน