วันนี้เราลองมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับระบบการเงินของไทย หรือแนวโน้มที่อาจจะเกิดขึ้นในปีนี้กันดูนะคะ หลายคนอาจมองว่าเป็นเรื่องที่ไกล และไม่จำเป็นเลยที่จะต้องทราบหรือศึกษาข้อมูล และนั่นเป็นเป็นความเชื่อความคิดที่ผิดๆ ในความเป็นจริงแล้ว มันใกล้ตัวมาก ลองมองไปรอบจะเห็นได้เลยว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้เป็นเพราะการเปลี่ยนแปลงและระบบการเงินภายในประเทศ ที่เกิดความคลาดเคลื่อนมาตั้งแต่ปี 2558
แล้วสำหรับในปีนี้ล่ะจะเป็นอย่างไร เป็นเรื่องที่น่าสนใจไม่น้อยเลยนะคะ นี่ก็เข้ากลางปีแล้วดังนั้นยังไม่สายที่จะทำการศึกษาเกี่ยวกับระบบการเงินของไทยในปีนี้เพื่อการคาดการณ์และการวางแผนสำหรับการใช้จ่ายไว้ล่วงหน้า อย่าช้าที่จะทำการสิ่งที่เรานำมาเสนอวันนี้ เป็นบทความเกี่ยวกับ แนวโน้มการเงินไทย ปี 2559 มีดังต่อไปนี้
จากการสำรวจพบว่าสภาพคล่องของระบบการเงินในปี 2559 มีแนวโน้มตึงตัวขึ้นกว่าปี 2558 โดยต้องจับตาการขึ้นดอกเบี้ยของ เฟด และที่พิเศษไปกว่านั้น คือสภาพคล่องปี 2559 มีแนวโน้มตึงตัวขึ้นเนื่องมาจากการปรับพอร์ตของนักลงทุนต่างชาติทีได้เข้ามาทำการลงทุนในประเทศไทย และส่วนหนึ่งมาจากการระดมทุนของภาครัฐ โดยรัฐบาลไทยได้กำหนดนโยบายการคิดดอกเบี้ยที่ทรงตัว กล่าวคืออยู่ในระดับ1.50% ตลอดปี 2559 แต่ทั้งนี้ยังมีเงื่อนไขที่สำคัญๆ หลายเงื่อนไขดังต่อไปนี้
- เฟดขึ้นอัตราดอกเบี้ย ที่ได้กล่าวมา จะต้องอยู่ในรูปแบบที่ค่อยเป็นค่อยไป
- สำหรับการดำเนินกิจกรรมเศรษฐกิจในประเทศ ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยค่อยๆ ฟื้นตัวและเป็นไปตามเป้าหมาย สำหรับทิศทางดังกล่าวยังคงตัว และอยู่ในสถานการณ์ที่สามารถคาดการณ์ได้ ซึ่งไม่จำเป็นที่จะต้องมีการปรับขึ้นของดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ทั่วไป แต่ไม่ได้หมายความว่าอัตราผลตอบแทนในระยะกลาง–ยาวจะไม่มีการเกิดขึ้น ทางธนาคารพาณิชย์เองก็ยังคงมีการออกผลิตภัณฑ์เงินฝากระหว่างปีเพื่อชดเชยรุ่นที่ครบกำหนดอยู่ตลอดเวลา
ไม่เพียงแต่ระบบการเงินภายในประเทศเท่านั้น ที่ส่งผลให้มีระบบเศรษฐกิจที่ตกต่ำ สิ่งที่ไม่ควรพลาดเลยคือระบบการเงินในประเทศยักษ์ใหญ่ จัดได้เลยว่ามีผลแก่ประเทศเล็กๆ ทั่วโลกเลยก็ว่าได้ คือประเทศสหรัฐอเมริกา ร้อยทั้งร้อยหากประเทศดังกล่าวมีระบบการเงินที่เปลี่ยนแปลง ฝืด หรือมีปัญหาเกี่ยวกับระบบการเงินภายในแล้วนั้นจะส่งผลมาถึงประเทศเล็กๆ อย่างแน่นอน
แนวโน้มการเงินภายในประเทศสหรัฐอเมริกามีดังต่อไปนี้
สำหรับด้านอัตราดอกเบี้ย ในประเทศสหรัฐอเมริกานั้นจะมีข้อแตกต่างไปจากกประเทศไทย คือจะมีการปรับขึ้นจากเดิมอีกประมาณ 0.50% ในปี 2559 ด้วยเหตุนี้ทำเอาหลายๆคนเดือนร้อนกันไม่น้อยเลย แต่อย่าไปวิตกกังวลไปเลย เนื่องจากสิ่งที่ได้กล่าวมานี้เป็นเพียงแนวโน้ม ที่ยังไม่มีการแจ้ง หรือประกาศออกมาอย่างเป็นทางการ จะต้องมีการติดตามปัจจัย เศรษฐกิจและเงินเฟ้อของสหรัฐฯอย่างใกล้ชิด
หลังจากที่ เฟด มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2558 ที่ผ่านมา ซึ่งการตัดสินใจครั้งนี้ถือว่าเป็นการนโยบายการปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรก ในรอบ 9 ปีที่ผ่านมาของเฟด นับต้องแต่ พ.ศ. 2549
สำหรับแนวทางในการรับมือกับปัญหาเศรษฐกิจในปี 2559 มีดังต่อไปนี้
จากผลสํารวจบัตรเครดิตล่าสุดของศูนย์วิจัยกสิกรไทย พบว่าผู้บริโภคมีการใช้จ่ายที่ระมัดระวัง และมีการวางแผนการจัดการที่ดีขึ้นมากในปี 2559 เมื่อได้นำมาเทียบในปี 2558โดยได้ให้ความเห็นว่า มีความวิตก เรื่องค่าครองชีพ เศรษฐกิจที่ไม่มั่นคง ดอกเบี้ย และรายได้ มากเป็นพิเศษ โดยเรียงลำดับดังต่อไปนี้่
- แนวโน้มค่าครองชีพที่มีโอกาสเพิ่มขึ้นอยู่ตลอดเวลา บวกกับภาระค่าใช่จ่ายในการดำเนินชีวิตประจำวันนั้นค่อนข้างที่จะสูงพอตัวอยู่แล้ว จึงไม่ต้องการที่จะสร้างภาระเพิ่ม
- มีความกังวลว่าอัตราดอกเบี้ยจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากสถานการณ์การเงินที่แปรผัน และไม่มั่นคง
- ความไม่มั่นคงในอาชีพการงานและความไม่แน่นอนของรายได้
- เศรษฐกิจโลกก็เป็นอีกส่วนหนึ่งในการตัดสินใจ จะเห็นได้เลยว่าทุกวันนี้หาความแน่นอนยาก รวมไปถึงความไม่คงตัว เป็นเหตุทำให้หลายๆคนเลือกที่จะไม่เสี่ยง
- ไม่ต้องการสร้างหนี้เพิ่ม เนื่องจากเกรงว่าจะเกิดปัญหาในการชำระ เนื่องจากรายรับที่ต่ำและไม่มั่นคง
- สถานการณ์ทางการเมืองที่ไม่แน่นอน ไม่สามารถคาดคะเนได้เลยว่าจะเป็นอย่างไร ดังนั้นเลือกที่จะอยู่เฉยๆดีกว่านำเงินส่วนต่างๆมาเสี่ยงกับการลงทุน เนื่องจากเห็นได้แล้วว่าได้ไม่คุ้มเสีย
จากที่ได้กล่าวมาในข้างต้นนั้นเป็นอุปสรรคในการทำงานของการปล่อยเงินกู้ของสถาบันการเงินต่างๆ มากมาย แต่ทั้งนี้ก็ยังมีบางส่วนที่สามารถจัดการและแก้ไขได้ด้วยการฝากความหวังไว้กับสินเชื่อธุรกิจ
ตามแรงส่งของการส่งออกและการลงทุนภาครัฐที่ได้จัดแนวทางแก้ไขนั้น เป็นที่น่าเสียดายเป็นอย่างมากเนื่องจากมีนโยบายแก้ไขเพื่อให้ธุรกิจฟื้นตัวในปริมาณที่จำกัด ด้วยเหตุนี้จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจSME ที่เน้นเรื่องการค้าภายในประเทศเป็นอย่ามาก อย่างไรก็ดีการเติบโตของสินเชื่อ คงเน้นไปที่ประเภทเงินทุนหมุนเวียน โดยคาดหวังสินเชื่อเพื่อการลงทุนที่น่าจะเร่งตัวขึ้นกว่าปีก่อน เชื่อได้เลยว่าแนวโน้มการเงินจะกลับมามั่นคง และมีสภาพคล่องได้อย่างรวดเร็ว อย่างไรเสียก็อย่าลืมที่จะติดตามข่าวสารและคอยเช็คแนวโน้มการเงินประเทศกันบ่อยๆล่ะ