นับวัน ค่านิยมชาวไทย เป็นไปในลักษณะของการให้ความกับสำคัญกับวัตถุนิยมหรือเทคโนโลยีจนมากเกินไป ทำให้พฤติกรรมของคนในปัจจุบันมีความเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด จนทำให้เกิดการใช้จ่ายที่มากเกินพอดีเพื่อให้ได้มาซึ่งวัตถุที่ฟุ่มเฟือยหรือเกินความจำเป็น โดยค่านิยมผิด ๆ และเกินพอดีเหล่านี้ สามารถแยกได้ดังนี้
1.ค่านิยมด้านวัตถุ
เป็นปัจจัยที่แปรเปลี่ยนสภาพพฤติกรรมของคนได้เป็นอย่างดี ซึ่งจะเห็นได้ว่าทุกวันนี้ มีการใช้จ่ายเงินแบบฟุ่มเฟือยเพื่อให้ได้มาซึ่งวัตถุที่มีความนิยมกันตามกระแส เรียกว่า ถ้าคนอื่นเขามีกัน ก็ต้องมีบ้างเพื่อไม่ให้ตกกระแส เห็นได้มากที่สุด คือ การใช้สมาร์ทโฟน ที่ซื้อหากันจนเกินความจำเป็นต่อการใช้งาน ไม่เว้น แม้แต่เด็กเล็ก ๆ ที่ยังไม่ได้มีความจำเป็นในการใช้สมาร์ทโฟน แต่ก็ยังมีให้ใช้เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าบางครอบครัวพ่อแม่ก็เลี้ยงลูกด้วยวัตถุจนมากเกินไป
ว่าด้วยวัตถุนิยมยังมีอยู่หลายเรื่องด้วยกัน ที่มีค่านิยมที่ผิด ๆ ไป เช่น ความนิยมซื้อยานพาหนะ ทั้งรถยนต์และมอเตอร์ไซต์บิ๊กไบค์ ทั้ง ๆ ที่ยังไม่จำเป็น หรือซื้อเพราะความชอบ หรือเพียงเพราะตามกระแส อยากเข้ากลุ่มกับเพื่อน ๆ โดยที่ไม่ได้พิจารณาค่าใช้จ่ายของตนเองในแต่ละเดือน โดยหากเป็นมนุษย์เงินเดือนหรือคนที่ไม่ใช่เศรษฐี จะทำให้เป็นหนี้สินระยะยาว แทนเก็บเงินในส่วนนี้ไว้เพื่ออมในอนาคต ทำคนไทยส่วนมากมีหนี้ต่อครัวเรือนสูง เพราะไม่มีเงินออม เนื่องจากฟุ่มเฟือยกับของที่เกินจำเป็น
แนวทางการปรับปรุง การปลูกฝังในเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งมีการณรงค์กันมาอย่างต่อเนื่อง และภายในครอบครัวเองต้องมีการปลูกฝังลูก ๆ หรือคนในครอบครัว ให้รู้จักการใช้จ่ายอย่างพอประมาณ โดยพ่อแม่อาจจะทำเป็นตัวอย่าง ให้เล็งเห็นประโยชน์หรือความสำคัญของการได้มาในวัตถุนั้น ๆ ว่ามีความจำเป็นกับเราหรือไม่ อย่าเอาตัวเราไปเปรียบเทียบกับคนอื่น เพราะฐานะทางสังคมหรือความจำเป็นในการใช้งานไม่เหมือนกัน ฉะนั้น การตามกระแสในเรื่องวัตถุนิยมแล้วทำให้ตนเองต้องเดือดร้อน มันได้ไม่คุ้มเสียโดยเฉพาการเป็นหนี้ก้อนโต ที่สำคัญคือสถาบันทางการเงินต่าง ๆ ก็ต้องมีการปรับปรุง ให้มีการกู้เงินตามความจำเป็นมากที่สุด แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะสำคัญที่สุดอยู่ที่ตัวบุคคล ต้องปลูกฝังนิสัยของตนเอง ไม่ให้ตามกระแสจนมากเกินไปและใช้เท่าที่จำเป็น
2.ค่านิยมการใช้โซเชียล
จะเห็นว่าในยุคปัจจุบันเป็นยุคของการใช้โซเชียล ที่คนส่วนใหญ่มีพฤติกรรมเลือกเสพความสุขจากโลกโซเชียล มากกว่าโลกแห่งความเป็นจริง ทำให้หลาย ๆ ครอบครัว ไม่ได้มีกิจกรรมร่วมกันดังเช่น แต่ก่อน โดยเฉพาะเยาวชนที่ติดทั้งเกม ทั้งแอพลิเคชั่นต่าง ๆ ขณะที่หลาย ๆ คนถึงกับแอบเล่นเฟสบุ๊คส์ แอบแชทในเวลาทำงาน ทำให้การงานล่าช้า จนถูกตำหนิหรือลงโทษจากหัวหน้างาน ดังที่เป็นข่าวคราวกัน จะเห็นว่า ค่านิยมในการใช้โชเซียลมีเป็นจำนวนมาก การมีเทคโนโลยีไม่ได้ผิด แต่ผิดที่พฤติกรรมของคนซึ่งอาจไม่ได้รู้จักแยกแยะเวลาในการเล่น ทำให้เสียการเสียงานก็มาก จนกระทั่งการให้ความสำคัญกับโลกโซเชียลจนมากเกินไป เช่น การคอมเม้นท์ การวิพากษ์วิจารณ์ตามเว็บบอร์ดต่าง ๆ จนเก็บมาเป็นอารมณ์ หรือเกิดเรื่องราวที่ไม่ดีต่าง ๆ ตามที่ได้ติดตามข่าวกัน
-
ค่านิยมของการใช้ภาษาที่ไม่ถูกต้องหรือการใช้ศัพท์แสลงที่มากเกินไปในโลกโซเชียล ซึ่ง แม้ว่าจะทำให้ดูเท่ห์ดูเก๋ในหมู่คนเล่นโซเชียลที่ต้องตามกระแสกับการใช้ภาษาไทย ที่นับวันจะผิดแปลก แม้แต่การพิมพ์คำพื้น ๆ ทั่วไปก็พิมพ์ผิด
-
นิยมหาแฟนตามโปรแกรมแชทต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเฟสบุ๊คส์ อินสตาแกรม ซึ่งการที่คุยกับคนไม่รู้จักกันมาก่อน เพียงแค่ติดใจในการพูดคุยถึงกับทำให้หลายคนเกิดความชอบพอในตัวคน ๆ นั้นทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้เห็นหน้ากันจริงจัง ไม่ได้รู้ลึกถึงนิสัยใจคอที่แท้จริง แม้จะเป็นค่านิยมที่ แม้จะไม่ผิดเสียทีเดียว แต่ก็ควรพิจารณาให้มากกว่านี้ เพราะจะเห็นว่ามีข่าวมากมายที่เกิดจากภัยทางอินเทอร์เน็ต โดยเฉพาะการแชทหาคู่
-
ค่านิยมในการแชร์โดยไม่กรองข่าวสาร ซึ่งความวุ่นวายในโลกโซเชียลที่มีค่านิยมในการแชร์ เห็นแล้วต้องแชร์อย่างเดียว โดยไม่พิจารณาหรือกลั่นกรองให้รอบคอบ ซึ่งสร้างความเสียหายให้ผู้อื่นมานักต่อนัก เป็นพฤติกรรมของคนในสังคมที่ต้องมีการปรับปรุง
แนวทางการปรับปรุง เรื่องค่านิยมของการโซเชียลเน็ตเวิร์กในทางที่ผิด ๆ หรือแปลก ๆ นั้น เป็นเรื่องยากปรับปรุง เนื่องจากเป็นความนิยมของคนกลุ่มใหญ่ เป็นพฤติกรรมที่แก้ไขได้ยากมาก นอกจากมีการรณรงค์ให้เกิดการใช้โซเชียลอย่างสร้างสรรค์ เช่น รณรงค์ให้มีการกรองข่าวก่อนแชร์ข้อมูล รณรงค์ให้ใช้ภาษาไทยอย่างถูกต้อง หรือก ในองค์กรนั้น ๆ ควรออกมาตรฐานขั้นเด็ดขาดสำหรับคนที่แชทเวลาทำงาน เช่น ตัดเงินเดือน เรียกให้ไปอบรมเข้าค่ายหรือทำกิจกรรมเพื่อสังคม ซึ่ง แม้จะเป็นวิธีการพื้น ๆ ที่ใช้กัน แต่เชื่อว่าคงไม่มีใครอยากจะถูกตัดเงินเดือน หรือไปทำกิจกรรมที่เหน็ดเหนื่อยแน่นอน
-
ค่านิยมของเสริมความงาม การศัลยกรรม
ในปัจจุบันค่านิยมของความสวยงาม ความหล่อ ความขาว มีอิทธิพลอย่างมากต่อหนุ่ม ๆ สาว ๆ เพราะเชื่อว่า หากสวย หากหล่อ จะมีผลต่อด้านดีของชีวิต เช่น โอกาสในการทำงานดี ๆ จึงมีการศัลยกรรมตกแต่ง หรือเสริมความงามด้วยวิธีต่าง ๆ โดยเฉพาะเรื่องความขาว จะเห็นการใช้ครีมทาหน้า ทาผิวที่ไม่ผ่านมาตรฐานความปลอดภัย ทาแล้วหน้าขาวภายในสัปดาห์เดียว ซึ่งเสี่ยงต่ออันตรายเกิดขึ้นต่อผิวหนังและโรคภัยไข้เจ็บ
-
ค่านิยมลดความอ้วนแบบผิด ๆ ค่านิยมของการมีหุ่นเพรียว ผอม มีหน้าท้องที่กระชับ กลายเป็นสิ่งที่ต้องปฏิบัติกันทั้งการควบคุมอาหารและการออกกำลังกาย แต่ในขณะเดียวกัน มีคนจำนวนไม่น้อย ที่หันมาเลือกทางลัดของการลดความอ้วน โดยการทานยาลดความอ้วน แม้ว่าจะมีข่าวหนาหูเกี่ยวกับอันตรายของยาลดความอ้วน แต่ก็ยังมีการใช้กันอยู่
-
ค่านิยมการทานอาหารเสริม หรือวิตามินต่าง ๆ ไม่ใช่เรื่องที่ผิด แต่การทานที่มากเกินพอดี อาจจะส่งผลไม่ดีได้ในอนาคต เพราะจะเห็นว่าหลายคนด้วยกันที่ อยากสวย อยากขาว ทั้งบำรุงผิวภายนอก และภายในที่ต้องทานอาหารเสริมหลากหลายชนิดในเวลาเดียวกัน จะทำให้ตับทำงานหนักและหากทานไปนาน ๆ ติดต่อกันก็จะเกิดผลเสียต่อร่างกาย
แนวทางการปรับปรุง ควรมีเวทีให้มีการแสดงความสามารถให้มากกว่าการโชว์รูปร่างหน้าตา เพื่อเป็นการการันตีว่า การมีความสามารถนั้นย่อมอยู่เหนือกว่า การมีรูปร่างหน้าตาที่ดี หรือการรณรงค์ทำให้เห็นพิษภัยของค่านิยมในการใช้ยาลดความอ้วน หรือการทานอาหารเสริมที่ไม่ได้มาตรฐาน สนับสนุนให้มาออกกำลังกาย ทานอาหารที่มีประโยชน์ มากกว่าการทำด้วยวิธีลัด
4.ค่านิยมการแข่งขันในหมู่เด็กและเยาวชน
จะเห็นว่าในยุคปัจจุบันเด็กและเยาวชนมีการแข่งขันกันมาก ไม่ว่าจะเป็นการสอบเข้า การแข่งขันในด้านต่าง ๆ แม้โดยภาพรวมจะมองว่าทำให้เด็กมีศักยภาพ เกิดความกระตือรือล้นในการศึกษาเล่าเรียน อนาคตจะได้บุคลากรที่มีคุณภาพ แต่ในขณะเดียวกันก็ยังมีข้อเสีย คือ ทำให้เด็กอยู่กับการเป็นที่หนึ่งจนมากเกินไป ทำให้เกิดความเครียด อยากเอาชนะ ส่งผลต่อภูมิต้านทานของจิตใจที่อ่อนแอ เพราะหากวันหนึ่งที่ไม่ได้เป็นที่หนึ่งแล้ว หรือสอบเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยที่ตนอยากเรียนได้ ก็มักจะผิดหวัง ทำร้ายตนเองก็มี
แนวทางการปรับปรุง ต้องมีการปรับปรุงในภาพรวมอย่างเป็นระบบ เช่น เน้นการแข่งขันให้น้อยลง ส่งเสริมวิชาในทางพระพุทธศาสนาให้มากขึ้น ให้เด็กมีกิจกรรมเพื่ออยู่ร่วมกับผู้อื่น ให้เกิดความเอื้อเฟื้อต่อผู้อื่น เพราะหากเด็กมัว แต่แข่งขันประกวดประชันกันแล้ว ความเป็นมิตรต่อผู้อื่นจะน้อยลงเพราะเขาจะมองว่าคน ๆ นั้นคือคู่แข่ง ต่อไปในอนาคตก็มีสิทธิ์ทำอะไรก็ได้ให้ได้มาซึ่งชัยชนะหรือความเป็นที่หนึ่ง เพราะเราจะเห็นได้จากข่าวสารว่า บางคนที่เรียนเก่ง เรียนมาระดับสูง มีความฉลาด กลับใช้ความฉลาดนั้นในทางที่ไม่ถูกต้องเพียงเพื่ออยากได้ผลประโยชน์เท่านั้น