ยุคนี้เป็นยุคที่ทำมาค้าขายค่อนข้างลำบาก อะไรที่เขาว่าดี ก็แห่ตามกันไปเปิด ไปทำ ปรากฏว่าไปถึงคนทายๆ ตลาดวายแล้วทุกที ส่วนอะไรที่ดีๆก็มีคู่แข่งเต็มไปหมด เช่น ร้านกาแฟ ขายของทางอินเตอร์เน็ตเป็นต้น ส่วนใครที่ธุรกิจเดินไปได้ เดินมาไกลแล้ว ก็อยู่ตัว ทำมาหากินได้ไม่ลำบาก แต่อย่าเพิ่งนิ่งนอนใจ สถานการณ์โลกตอนนี้เศรษฐกิจอยู่ในช่วงชะลอตัว และอาจเป็นขาลงได้ เมื่อเศรษฐกิจไม่ได้สวยหรู แน่นอนว่า กำลังซื้อจะต้องหดหายไป ธุรกิจที่เพิ่งเริ่มต้นใหม่ นับว่ามีความสุ่มเสี่ยงที่จะไปไม่รอด ดังนั้น จงตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ไม่ว่ารายเล็กหรือรายใหญ่ หากเศรษฐกิจไปไม่ไหวจริง ต้องหาทางรับมือ ส่วนคนทำงานงานประจำ มีเงินเดือนจ่ายให้ทุกสิ้นเดือนก็จริง ถ้าข้าวของแพงขึ้น อำนาจซื้อของเราก็ลดลง
เรื่องเงินทองต้องไม่ประมาท หากวันหนึ่งเกิดวิกฤตขึ้นมา ถ้าไม่เตรียมการ ก็จะทำให้เดือดร้อนได้ มาดูกันว่า ก่อนที่การเงินของเราจะเป็นปัญหา จะมีตัวบ่งชี้หรือมีสัญญาณอะไรเตือนบ้าง
1 เงินไม่พอใช้ ไม่มีสภาพคล่องหรือเรียกอย่างว่า ชักหน้าไม่ถึงหลัง
ปัญหานี้ถ้าเป็นช่วงค้าขายดีๆคงไม่มีปัญหาอะไร เพราะเงินที่หามาได้มากกว่าเงินที่จ่ายออกไปหลายเท่า ทำให้ไม่รู้สึกว่าเงินขาดมือแต่อย่างใด แต่เมื่อไหร่ที่ค้าขายไม่ดี ข้าวของแพงขึ้น เงินที่หามาได้ น้อยกว่าหรือพอๆกับเงินที่จ่ายไป คราวนี้เริ่มเป็นปัญหา ต้องหมุนเงินหยิบนั่นมาโปะนี่ สาเหตุเพราะ เราไม่ได้ทำบัญชีรายรับรายจ่ายอย่างจริงจัง อาศัยความจำของตัวเอง พอนานวันเข้าสิ่งที่ต้องจำมาเยอะไปหมด และมีการหลงลืมบ้าง เลยไม่รู้ว่าอะไรจำเป็นหรือไม่จำเป็นจำเป็น เงินส่วนตัวกับเงินที่ทำการค้าปนกันไปหมด จนไหนที่สุด เงินมีไม่พอใช้จ่ายอีกแล้ว คราวนี้ก็ยุ่งกันใหญ่ มีปัญหาใหญ่รออยู่ข้างหน้าแน่ๆ ทางที่ดีควรทำบันทึกทำบัญชีให้ละเอียด เมื่อทำบัญชีทุกวัน เราย่อมมองเห็นสมดุลของรายรับรายจ่าย และก็จะสามารถปรับเปลี่ยนได้ทันท่วงที
2 ขายดีแต่ไม่มีเงิน
สัญญาณนี้บ่งชี้ว่า เราเอาเงินจากการค้าขายมาปนกับเงินสำหรับใช้จ่ายส่วนตัว อยากได้อะไรก็หยิบในกระป๋องตังส์หน้าร้านไปใช้ก่อน เมื่อนำออกไปแล้ว ก็ไม่มีการเอามาใช้คืน การขายดีทำให้รู้สึกว่าเงินได้มาง่าย เอาไปใช้จ่ายมือเติบ โดยลืมไปว่า หน้าร้านต้องมีต้นทุนในการซื้อของมาขาย เมื่อเอาเงินของร้านมาใช้ ก็เข้าข่ายทุนหายกำไรหด สุดท้ายไปไม่รอด
3 ต้นทุนสินค้าแพงขึ้น
หมายถึงเราต้องซื้อของเข้าร้านแพงขึ้น ถ้าไม่บริหารจัดการอะไรเลย ปล่อยทุกอย่างไปตามทางของมันเอง แน่นอนว่าถ้าไม่ยอมให้ตัวเองได้กำไรน้อยลง ก็ต้องขายของให้แพงขึ้น ก็ทำให้เสียลูกค้าไปให้กับเจ้าอื่นได้ การที่ต้นทุนแพงขึ้น เราอาจแก้ด้วยการลดค่าใช้จ่าย หรือถ้าจะขายเท่าเดิม ก็ต้องหาวิธีเรียกลูกค้าให้เข้าร้านเพิ่มขึ้น ถ้าไม่ทำอะไรเลย ก็รอวันปิดร้านได้เลย
4 ไม่รู้กำไรของตัวเอง
ปกติคนเรามักเข้าข้างตัวเอง เห็นว่าขายดีกำไรงาม ก็คิดว่าธุรกิจกำลังไปได้สวย แต่มักจะลืมค่าใช้จ่ายเล็กๆน้อย หรือคิดต้นทุนไม่ครบ ดังนั้นอย่าดีใจกับการขายดีจนละเลยต้นทุนที่แท้จริง
5 ไม่มีแหล่งเงินทุน หรือเข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุนที่ดี
เป็นไปได้ว่าวันหนึ่งร้านค้าของเราต้องปรับปรุง หรือเปลี่ยนโฉมเปลี่ยนแนวให้ทันกันตามสมัย ซึ่งต้องลงเงินเพิ่มก้อนใหญ่ แต่ไม่รู้จะไปหาเงินมาจากไหน กู้นอกระบบก็เจอดอกเบี้ยโหดมาก จะกู้ธนาคารก็ไม่เคยเดินบัญชีหรือไม่มีสายสัมพันธ์อันดีกับสินเชื่อหรือผู้จัดการ ทำให้เป็นอุปสรรคในการทำการค้าให้ต่อเนื่องลื่นไหล จึงต้องหาทางหรือสร้างความสัมพันธ์กับแหล่งที่ดีไว้บ้าง
ทั้ง 5 ข้อนี้ บ่งชี้ในเบื้องต้นว่า การเงินของเรากำลังมีปัญหา ถ้าอยู่ในช่วงที่เศรษฐกิจดี ปัญหาอยู่ที่วินัยการใช้จ่ายเงินของเราล้วน ก็แค่แก้ที่ตัวเองก็จบ แต่ถ้าเจอในช่วงเศรษฐกิจไม่ดี เราเองก็ไม่มีวินัยทางการเงิน นั่นคือต้องรับมือกับปัญหาสองด้าน ปัญหาเกี่ยวกับตัวเองพอแก้ได้ แต่ปัญหาเศรษฐกิจเป็นเรื่องใหญ่ แก้ไขอะไรไม่ได้ง่ายๆ นอกจากต้องเตรียมพร้อมและตั้งรับ อาจอยู่ยากและลำบากขึ้นก็ต้องยอมอดยอมทน ประคองตัวให้อยู่รอดในวงจรเศรษฐกิจรอบใหญ่ให้ได้ โดยทำภาคการเงินที่ตัวเองสามารถควบคุมได้ให้แข็งแกร่ง หากมีสัญญาณอันตรายอะไรเกิด ต้องรีบแก้ไขและปรับเรื่องการเงินสมดุลทันที