เมื่อเปรียบเทียบเรื่องท่องเที่ยวต่างประเทศในปัจจุบันกับเมื่ออดีตเราจะเห็นความแตกต่างเลยว่าทุกวันนี้มีคนหันไปใช้เวลาและเงินกับเรื่องท่องเที่ยวต่างประเทศมากขึ้นมาก จำได้ยุคพ่อแม่เราใครที่ได้ไปเที่ยวต่างประเทศปีละครั้งก็ถือว่าหรูมากแล้ว และก็มักจะต้องเป็นคนที่มีฐานะมากพอสมควรถึงจะไปได้ แต่ทุกวันนี้มันต่างออกไปมาก แม้แต่คนชั้นกลางทำงานกินเงินเดือนก็ไปเที่ยวต่างประเทศได้บางทีปีละหลายครั้งด้วยซ้ำ อีกอย่างอาจจะเป็นเพราะด้วยเทคโนโลยีข่าวสารการแชร์ข้อมูลในโลกโซเชียลมีเดียก็ทำให้เราเห็นชีวิตคนอื่นได้มากและบ่อยขึ้นกว่าสมัยก่อนด้วย เราก็เลยได้รู้
และนี่เองจึงเป็นที่มาของกระทู้ฮอตในพันทิป https://pantip.com/topic/36508300 ที่เจ้าของกระทู้จั่วหัวกระทู้เรียกแขกไว้ว่า “มนุษย์เงินเดือนที่เค้าเที่ยว ตปท บ่อย ๆ เค้ามีเงินเก็บมั่งปะครับ” พร้อมกับอธิบายว่าเห็นคนรอบ ๆ ตัวไปเที่ยวต่างประเทศกันเป็นว่าเล่น เห็นก็ไม่ได้ว่ารวย ทำงานกินเงินเดือนเหมือนกัน คงเอาเงินเก็บนี่แหละไปเที่ยว ก็เลยมานั่งคิดว่าเขามีเงินเก็บกันบ้างไหม หรือพอมีก็เอาไปเที่ยวหมด ไม่กลัวลำบากตอนแก่กันเหรอ เพราะตัวเจ้าของกระทู้เองคิดว่าการใช้เงินไปเที่ยวต่างประเทศถือเป็นเรื่องสิ้นเปลือง ไปทีไรไม่สบายใจ เลือกเอาเงินไปเก็บลงทุนดีกว่า เลยมานั่งคิดว่าตัวเองแปลกหรือเปล่า เพราะสำหรับเขาการพาพ่อแม่ไปกินข้าวก็มีความสุขและสนุกแล้ว
จริงที่สุดเลยค่ะ เรื่องที่มีคนหันมาเที่ยวต่างประเทศกันเยอะขึ้น คิดว่าเหตุผลสำคัญหลัก ๆ น่าจะเป็นไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของคนเราที่เปลี่ยนไป สมัยก่อนคนรุ่นพ่อแม่เราเค้าหาเงินลำบากแล้วก็โตมากับคำสอนที่ว่าต้องเก็บเงินให้มาก ๆ ชีวิตตอนแก่ ๆ จะได้ไม่ลำบาก แต่คนสมัยนี้เอาตั้งแต่ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตก็เปลี่ยนไปแล้ว เลือกทานอาหารนอกบ้าน ร้านอร่อยหรู เสื้อผ้า กระเป๋าต้องดูดีมียี่ห้อ เพราะถือว่าช่วยเสริมบุคลิกภาพของเราได้ หมดยุคกับคำว่าลำบากก่อนสบายทีหลัง เพราะคนยุคใหม่เชื่อว่าต้องหาเงินไปพร้อม ๆ กับการใช้เงินซื้อความสุขไปด้วย
อีกอย่างคนยุคใหม่มองว่าประสบการณ์ในการใช้ชีวิต การได้เห็นอะไรใหม่ ๆ ในต่างแดนเป็นเรื่องสำคัญที่จะทำให้เราเห็นโลกกว้าง ทำให้โลกทัศน์ของเรากว้างไกล บางคนไปกันทั้งครอบครัว ลูกเล็กเด็กแดงหิ้วไปหมด เพราะอยากให้ลูกไปเห็นความแตกต่างทางวัฒนธรรมได้เห็นโลกกว้าง ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่หาที่ไหนไม่ได้ในเมืองไทย
อีกข้อที่น่าจะเป็นเหตุผลเฉพาะเกี่ยวกับการท่องเที่ยวต่างประเทศก็คือ ด้วยการแข่งขันของธุรกิจสายการบินทำให้ต้นทุนค่าตั๋วเครื่องบินไปท่องเที่ยวต่างประเทศนั้นมีราคาถูกลง นักท่องเที่ยวสามารถเลือกเที่ยวได้ในราคาประหยัดมากกว่าแต่ก่อน อย่างไปญี่ปุ่นต่อคนสมัยก่อนต้องไม่ต่ำกว่า 4-5 หมื่นบาท แต่เดี๋ยวนี้มีไม่ถึงสองหมื่นก็เที่ยวได้แล้ว
ความรู้เรื่องการวางแผนทางการเงินที่ดีก็เป็นอีกเหตุผลที่ทำให้คนรุ่นใหม่ ๆ เลือกไลฟ์สไตล์ที่ตอบโจทย์ตัวเองได้มากขึ้น เพราะเมื่อมีรายได้ก็เก็บออมและนำเงินไปลงทุนให้ได้ผลตอบแทน บางคนก็วางแผนจัดการแบ่งเก็บเงินเป็นก้อน ๆ ส่วนหนึ่งไว้เป็นค่าใช้จ่ายในบ้าน ส่วนหนึ่งผ่อนค่างวดรถยนต์ อีกส่วนกันไว้เป็นเรื่องท่องเที่ยวโดยเฉพาะ ทำให้เที่ยวได้ทุกปี หรือบางทีปีละหลายรอบ
อ่านเพิ่มเติม : แชร์ประสบการณ์ทำงานหาเงินเที่ยว
แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนหรอกที่จะชอบท่องเที่ยวต่างประเทศ บางคนมีความสุขกับชีวิตในรูปแบบอื่น เช่น อยู่กับพ่อแม่ ดูแลพาพ่อแม่ไปกินข้าว เหมือนเจ้าของกระทู้ผู้นี้ หรือบางคนก็สุขกับการแค่ได้ท่องเที่ยวในประเทศไทยเรา เพราะมองว่าแค่เมืองไทยก็ยังเที่ยวไม่หมดเลย ประหยัดกว่าด้วย รายได้และความจำเป็นของแต่ละครอบครัวก็ไม่เหมือนกัน บางคนยอมเลือกเอาเงินไปทำอย่างอื่นแทนการท่องเที่ยวต่างประเทศ ที่แม้ว่าราคาจะประหยัดกว่าสมัยก่อนก็จริงอยู่ แต่ไปทีก็ต้องใช้เงินก้อนเหมือนกัน ทำงานเก็บเงินตั้งนานจะไปก็เสียดาย อันนี้แล้วแต่ว่าความสุขความพอใจของแต่ละคนอยู่ตรงไหน
สิ่งสำคัญอยู่ตรงที่ไม่ว่าเราจะเที่ยวต่างประเทศทุกปี ปีละหลายครั้ง หรือไม่เที่ยวก็ตาม การวางแผนจัดการบริหารเรื่องเงิน รายได้ ค่าใช้จ่ายและเงินเก็บ จะทำให้เรารู้สถานะการเงินของตัวเองได้ดีที่สุด ว่าเราใช้จ่ายเงินมากเกินไปกับเรื่องใดหรือไม่ ถ้าหยอดกระปุกเก็บเงินแยกเป็นเรื่องเป็นราวเพื่อเที่ยว ไม่ได้เดือดร้อนใคร ไม่ได้ลำบากก่อหนี้เพื่ออยากจะไปเที่ยวเลียนแบบคนอื่นแบบนี้ อันนี้ก็ถือว่าไม่เดือดร้อนตัวเองและคนอื่น บางคนชอบเที่ยวแต่เงินเดือนน้อย ก็เติมเต็มความฝันด้วยการทำงานเพิ่มหาอาชีพเสริมแล้วเก็บเงินเพื่อจะได้ไปเที่ยว แบบนี้ผู้เขียนว่าโอเค แต่ถ้าจะเที่ยวแล้วต้องไปกู้หนี้ยืมสินมาโดยที่มองไม่เห็นหนทางว่าจะเอาจากไหนมาจ่าย ซื้อความสุขประเดี๋ยวประด๋าวแลกกับความทุกข์อีกนานในอนาคต แบบนี้ควรต้องระวังค่ะ เพราะผู้เขียนเองก็เคยเจอเพื่อนที่ทำธุรกิจใช้ชีวิตหรูหราฟู่ฟ่ามากช่วงที่กำไรดี ไปเที่ยวต่างประเทศพร้อมครอบครัวทุกปี พอช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดี ก็ต้องหันมาหยิบยืมเงินจากเพื่อนฝูง เราเองไม่ได้เที่ยวต่างประเทศบ่อยเท่าเค้า แต่ต้องมาทำหน้าที่เป็นเจ้าหนี้ปล่อยกู้ไปเสียนี่ แอบคิดเหมือนกันว่าทำไมตอนที่มีไม่เก็บเงินไว้หนอ ก็ชีวิตมันไม่แน่นอนแบบนี้เอง ถึงต้องบริหารเรื่องเงินให้ดี
มีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นอย่างมากมายในกระทู้ดังกล่าว ขออนุญาตข้ามเรื่องดราม่าเกี่ยวกับเรื่องอิจฉาอะไรออกไป ส่วนใหญ่จะเห็นด้วยกับการใช้เงินเพื่อท่องเที่ยวเปิดประสบการณ์ในต่างประเทศ และมองว่าเรื่องแบบนี้เป็นสิทธิ์ของแต่ละคนที่จะเลือกใช้เงินใช้ชีวิตของตัวเอง แต่ก็มีหลายความเห็นที่ก็เห็นด้วยกับเจ้าของกระทู้เหมือนกันว่าเสียดายเงินก้อน จ่ายซื้อความสุขแค่เพียงไม่กี่วัน แป๊บเดียวกลับมาเงินก็หมดแล้ว อันนี้ก็แล้วแต่มุมมอง แต่สำหรับผู้เขียนเองมองว่าอะไรที่ทำแล้วมีความสุขก็ทำไปเถอะค่ะ ขอให้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความไม่เดือดร้อนของตัวเองและของใครก็พอ ที่สำคัญต้องเป็นความสุขจริง ๆ นะ ไม่ใช่คิดว่าไปแล้วมีความสุข แต่กลับมาแล้วทุกข์ หรือไม่ไปแล้วคิดว่าจะสุข แต่ที่จริงทุกข์ อะไรแบบนี้ก็น่าเวียนหัวค่ะ วางแผนเรื่องเงินให้ดี มีเงินเผื่อไว้กรณีฉุกเฉิน เอาให้อนาคตไม่เดือดร้อนกันนะคะ