เคยคิดกันบ้างไหมว่า มีวิธีอย่างไรให้เงินที่มีของเราเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า!!!
ในวันนี้ Money Hub ของเราจะพาไปดูกันว่าถ้าเราจะต้องเก็บออมเงินหรือลงทุน จะต้องทำอย่างไรจึงจะให้เงินที่มีอยู่ของเรามีมูลค่าสูงขึ้น และจะต้องใช้ระยะเวลาเท่าไหร่ที่จะทำให้ได้เงินก้อนนั้นเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า เรามีวิธีง่ายๆที่จะคำนวณผลตอบแทนและระยะเวลาที่ทำให้เงินมีมูลค่าเป็น 2 เท่า
เราเรียกวิธีนั้นว่า กฏของเลข 72
ซึ่งมีความสัมพันธ์เป็นดังนี้
72 = ดอกเบี้ยหรืออัตราผลตอบแทน (ร้อยละต่อปี) x ระยะเวลา (ปี)
จากความสัมพันธ์ข้างต้นจะได้ว่า
1.ถ้าเราอยากรู้ผลตอบแทนที่จะต้องทำเงินให้เป็น 2 เท่าในเวลา 10 ปี สามารถแปลงความสัมพันธ์ได้เป็น
หมายความว่า ถ้าต้องการลงทุนเป็นระยะเวลา 10 ปี จะต้องใช้ผลตอบแทนอยู่ที่ 7.2% ทบต้นต่อปี จึงจะทำให้เงินลงทุนตั้งต้นเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า
ซึ่งผลตอบแทนที่ 7.2%ทบต้นต่อปี มีสินค้าทางการเงินมากมายที่สามารถตอบโจทย์ผลตอบแทนนี้ได้ ไม่ว่าจะเป็นลงทุนให้หุ้น กองทุนหุ้น LTF RMF เป็นต้น ซึ่งบางตัวก็ให้ผลตอบแทนที่มากกว่า
(ที่มาของข้อมูล http://www.wealthmagik.com/FundInfo/TopFundPerformance.aspx)
*หมายเหตุ โดยผลตอบแทนทบต้นต่อปีนั้นจะต้องนำไปลงทุนต่อให้ได้ผลตอบแทน 7.2% ต่อปีเช่นเดียวกัน
2.ถ้าเราอยากรู้ระยะเวลาที่จะต้องทำเงินให้เป็น 2 เท่าด้วยผลตอบแทนที่ทำได้ 1% ทบต้นต่อปี สามารถแปลงความสัมพันธ์ได้เป็น
หมายความว่า ถ้าต้องการลงทุนได้ผลตอบแทนที่ 1% ทบต้นต่อปี นั่นหมายความว่าภายในระยะเวลา 72 ปี จึงจะทำให้เงินลงทุนตั้งต้นเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า
ซึ่งผลตอบแทนที่ 1%ทบต้นต่อปี เป็นสินค้าทางการเงินที่พวกเราคุ้นหน้าคุ้นตากันดี ไม่ว่าจะเป็น เงินฝากออมทรัพย์ เงินฝากประจำ กองทุนรวมตลาดเงิน หรือสินทรัพย์สภาพคล่องอื่นๆ เป็นต้น
*หมายเหตุ โดยผลตอบแทนทบต้นต่อปีนั้นจะต้องนำไปลงทุนต่อให้ได้ผลตอบแทน 1% ต่อปีเช่นเดียวกัน
จากทั้ง 2 ข้อจะสังเกตได้ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างผลตอบแทนและระยะเวลาแปรผกผันกัน ซึ่งสรุปได้ว่า
- ถ้าต้องการให้เงินตั้งต้นเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าโดยใช้ระยะเวลาที่สั้นจะต้องทำผลตอบแทนให้ได้มาก
- ถ้าต้องการให้เงินตั้งต้นเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าโดยทำผลตอบแทนได้น้อยจะต้องใช้ระยะเวลาที่มาก
แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าควรจะลงทุนสินทรัพย์ทางการเงินอะไร ปริมาณเท่าไหร่ และระยะเวลาแค่ไหนถึงจะเรียกว่าพอแล้วสำหรับการลงทุนในชีวิตของคนอย่างเรา
ดังนั้นเราจึงควรจะต้องมีสิ่งที่สำคัญที่จะกำหนดรูปแบบการลงทุนของเรา สิ่งนั้นเรียกว่า เป้าหมายทางการเงิน โดยการสร้างระบบที่มีชื่อว่า พิมพ์เขียวทางการเงิน ซึ่งจะมีลักษณะเฉพาะตัวตามรูปแบบวิถีชีวิตที่เราชอบและคุ้นเคย
ซึ่งหลักในการตั้งเป้าหมายทางการเงินส่วนบุคคลคือ ควรจะตั้งเป็นแบบ SMART
S = Specific
M = Measurable
A = Achievable
R = Realistic
T = Time Bound
โดยแต่ละตัวหมายความว่า
1.เฉพาะเจาะจง ว่าเป้าหมายที่เราต้องการเป็นอะไรใช้เงินเท่าไหร่ เพื่อที่จะได้เห็นภาพเป้าหมายชัดเจนขึ้น เช่น อยากซื้อคอนโดแถวสุขุมวิท ราคา 20 ล้านบาท พื้นที่ 30 ตร.ซม. ทำเลติดรถไฟฟ้า
2.สามารถวัดได้ คือกำหนดเป็นตัวเลขได้ เช่น คอนโดนั้นราคา 20 ล้านบาท
3.สามารถทำสำเร็จได้ คือเป้าหมายที่สามารถทำให้สำเร็จได้
4.สามารถทำได้จริง คือเป้าหมายจะต้องสมเหตุสมผล ที่ไม่สมเหตุสมผลเช่น จะซื้อที่ดินบนดาวอังคาร
5.มีระยะเวลา คือกำหนดเป็นตัวเวลาได้ เช่น อีก 10 ปีจะต้องมีคอนโดเป็นของตัวเอง เป็นต้น
ดังนั้นเมื่อเรามีเป้าหมายทางการเงินของเราเรียบร้อยแล้ว เราก็สามารถรู้เบื้องต้นได้ว่าจะต้องเก็บออมเท่าไหร่ เป็นเวลาแค่ไหน ผลตอบแทนที่คาดหวังควรเป็นอย่างไร ซึ่งตอบโจทย์ด้วยสินทรัพย์ทางการเงินชนิดไหน หรือถ้าอยากได้ตัวช่วยในการคำนวณหรือหาเป้าหมายทางการเงินที่แท้จริงก็ควรจะพบกับ นักวางแผนทางการเงินค่ะ