เคลียร์หนี้ แบบแฮร์คัท คืออะไร วิธีปรับโครงสร้างหนี้ให้ชีวิตง่ายขึ้น
หนี้ คำที่คุ้นหูและเชื่อว่าทุกคนไม่ต้องการเป็นหนี้ซึ่งบางครั้งอาจจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ การเป็นหนี้จึงไม่ใช่ตราบาปของชีวิต ถ้าหากรู้จักวิธีสร้างเกราะป้องกันหนี้ เช่นการไม่ก่อหนี้เพิ่ม และพยายามจะช่องทางรายได้เพิ่มมาโปะหนี้เพื่อไม่ให้ถูกฟ้องร้องจากเจ้าหนี้ โดยหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุด หากไม่สามารถหาหนี้จ่ายได้แล้วก็ต้องเป็นการเจรจาเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ เคลียร์หนี้ อย่างการทำ Haircut ที่ถ้าทำได้รับรองว่าจะช่วยให้หนี้สินหมดไวซึ่ง เคลียร์หนี้ แบบแฮร์คัท คืออะไรทำไมถึงควรเลือกวิธีนี้และใครประโยชน์ วันนี้เรามีคำตอบ
เคลียร์หนี้ แบบแฮร์คัท คืออะไร?
Haircut เป็นวิธีในการปรับโครงสร้างหนี้ด้วยการเจรจาเพื่อขอส่วนลดจากเจ้าหนี้โดยการจ่ายหนี้ทั้งหมดเพื่อปิดบัญชีทันที หรือถ้าพูดเข้าง่าย ๆ ก็คือการตกลงกับเจ้าหน้าว่าจะขอลดหนี้ที่ติดค้างกันให้เหลือที่ต้องจ่ายคืนเท่าไร ยกตัวอย่างมียอดหนี้ 300,000 บาท ต้องการขอลดให้เหลือ 250,000 บาท พร้อมจ่ายปิดบัญชีทันที ซึ่งหากเจ้าหนี้ตกลงก็จะได้ลดหนี้ 50,000 บาท หรือหากไม่สามารถจ่ายทั้งหมดในคราวเดียวได้ก็ขอแบ่งเป็นงวด ๆ เช่น 1 – 6 งวด หรือภายในเวลาที่กำหนด โดยขึ้นอยู่กับนโยบายการช่วยเหลือของแต่ละธนาคารโดยพิจารณาตามสภาพคล่องของลูกหนี้
เทียบชัด ๆ ใครได้ประโยชน์จากการจ่ายหนี้แบบแฮร์คัท
ต่อมาจะเป็นการเทียบหมัดต่อหมัดว่าการใช้วิธี Haircut ระหว่างลูกหนี้กับธนาคารจะมีข้อดีข้อเสียอะไรบ้าง
ฝ่ายลูกหนี้
ข้อดี: จะช่วยปลดภาระหนี้ได้เร็วขึ้นถึงแม้จะไม่มีเงินเพียงพอต่อการชำระหนี้เต็มจำนวน รวมถึงไม่ต้องแบกรับภาระดอกเบี้ยระยะยาวและได้เริ่มต้นชีวิตใหม่
ข้อเสีย: จะมีส่วนทำให้เสียประวัติการเป็นลูกค้าที่ดีของสถาบันการเงินเพราะการทำ Haircut ส่วนใหญ่ธนาคารจะพิจารณาให้ลูกค้าที่ประสบปัญหาด้านการเงินจริง ๆ ที่ไม่สามารถชำระนี้ปกติได้ รวมถึงยังเสียโอกาสในการขอสินเชื่อใหม่ ๆ จากประวัติการค้างชำระหนี้ในอดีตและยังต้องเสียค่าใช้จ่ายหากถูกสถาบันทางการเงินฟ้องคดีซึ่งอาจจะกระทบกับการใช้ชีวิต การงานและชีวิตครอบครัว
ฝ่ายธนาคาร
ข้อดี: จะสามารถช่วยเหลือลูกค้าให้ผ่านวิกฤตหนี้ไปได้ ช่วยให้ปลดภาระหนี้ได้เร็วขึ้น ไม่ลุกลามจนกลายเป็นวิกฤตหนี้เสียจนธนาคารต้องเข้มงวดกับการปล่อยสินเชื่อให้กับลูกหนี้ที่มีคุณภาพที่อาจได้รับผลกระทบจากวิกฤตที่เกิดขึ้นและยังมีอีกภาพที่คนทั่วไปมองไม่เห็นนั้นก็คือช่วยให้ธนาคารได้เงินคืนแม้จะไม่เต็มจำนวนซึ่งดีกว่าไม่สามารถเก็บหนี้ได้เลยเพราะสุดท้ายปลายทางก็คือวิกฤตทางการเงินเหมือนกัน นอกจากนั้น ธนาคารเองก็ไม่ต้องสำรองหนี้เสีย แถมยังได้เงินไปขยายบริการแก่กลุ่มลูกค้าที่ไม่สามารถเข้าถึงบริการของธนาคารได้และยังช่วยให้ดศรษฐกิจพัฒนาต่อไปได้อย่างยั่งยืน
ข้อเสีย: ธนาคารอาจจะสูญเสียเงินไปบางส่วน ได้รับหนี้ไม่เต็มจำนวน (ต้นไม่ครบ ดอกเบี้ยไม่ครบ) และธนาคารอาจจะต้องระมัดระวังการใช้สินเชื่อแก่ลูกค้ารายใหม่ (จากหนี้เสียที่มีจำนวนมากและลูกค้าเจตนาค้างชำระเพื่อใช้สิทธิ์การขอ Haircut)
Hair Cut เหมาะกับลูกหนี้แบบไหน
โดยหากถามว่าการใช้วิธีการเคลียร์หนี้แบบ Hair Cut จะเหมาะกับใคร จริง ๆ แล้วก็ได้ประโยชน์ทั้งกับธนาคารและลูกหนี้ แต่ลูกหนี้แบบไหนกันที่เหมาะกับการจ่ายหนี้แบบนี้
ลูกหนี้ที่มีความพร้อมต่อการจ่ายหนี้ มีเงินก้อนแต่ไม่ยังไม่พอปิดทั้งหมด เช่น อาจมีรายได้ที่มั่นคง มีรายได้พิเศษ หรือมีเงินก้อนที่ได้รับจากการขายสินทรัพย์บางอย่างควรจะมีความุ่งมั่นในการจ่ายหนี้ให้จบในเวลาอนรวดเร็ว หรือต้องการผ่อนหนัก
ทั้งนี้ เงื่อนไขของลูกหนี้จะขึ้นอยู่กับการพิจารณาของแต่ละสถาบันการเงินที่ลูกหนี้ค้างชำระอยู่
วิธีเจรจาขอลดหนี้แบบ Hair Cut ทำอย่างไร ?
จริง ๆ แล้วการขอลดหนี้แบบ Haircut สามารถทำได้ทุกช่วงเวลาหลังจากที่หนี้เรากลายเป็นหนี้เน่าไปแล้ว หรือเมื่อเราพร้อมจ่ายซึ่งต้องมีเงินพอจ่ายโดยที่ไม่ยืมเงินที่เสียดอกเบี้ยมาปิดอีกเพราะเหมือนการวนลูบทำให้ปัญหาไม่จบง่าย ๆ โดยส่วนใหญ่จะต้องใช้ระยะเวลาพอสมควรในการยื่นขอประมาณ 6 เดือนถึงจะเริ่มเจรจาได้ หรือ
- ก่อนได้รับหมายฟ้อง
- ได้รับหมายฟ้องมาแล้ว แต่ยังไม่ถึงวันที่ต้องไปขึ้นศาล
- อยู่ในระยะเวลาระหว่างการสู้คดี
- ถูกศาลพิพากษาแล้ว และอยู่ในระหว่างรอการจ่ายชำระหนี้คืนตามคำพิพากษา
โดยส่วนวิธีที่จะขอจ่ายปิดบัญชีแบบครั้งเดียวจบ หรือผ่อนเป็นรายงวดจนครบอันนี้จะขึ้นอยู่กับการเจรจาระหว่างลูกหนี้และธนาคารซึ่งจะอยู่ที่ความพึงพอใจทั้งสองฝ่ายในการตกลงยอมรับ
คงพอจะเข้าใจกันแบบคร่าว ๆ แล้ว สำหรับการเคลียร์หนี้แบบแฮร์คัท ซึ่งเป็นวิธีที่จะช่วยต่อรองกับเจ้าหนี้ (ธนาคาร) เพื่อขอส่วนลดแล้วปิดบัญชีซึ่งเหมาะกับคนที่มีเงินก้อน แต่ยังไม่พอปิดทั้งหมด หรือรายได้ที่มั่นคง หรือเงินมาจากการขายสินทรัพย์บางอย่างซึ่งจะช่วยปลดหนี้ได้ไวขึ้น ไม่ต้องแบกรับภาระดอกเบี้ยระยะยาว ส่วนธนาคารเองก็ได้เงินคืน แม้ไม่เต็มจำนวนก็ตาม