ทำธุรกิจเองแล้วไม่รุ่ง ไม่เห็นเหมือนคนอื่นๆ ที่ทำแล้วรวยกันเลย ของเราทำแล้วทำไม่มีแต่ทุนหายกำลังหด อีกทั้งเงินทุนที่มีอยู่ก็กำลังจะหมดไป ใครที่กำลังเจอเหตุการณ์แบบนี้อยู่บ้าง… อย่าเพิ่งหมดกำลังใจมาสำรวจตัวเองกันก่อนดีกว่า ว่าเราทำอะไรผิดพลาดไปตรงจุดไหนกันบ้าง
ใจร้อน … อยากบอกให้ทุกคนรู้ว่าฉันทำอะไรอยู่
มีใครเป็นกันบ้าง… ที่พอคิดไอเดียอะไรออกมาใหม่ และก็คิดไปเองคนเดียวว่ามันต้องดี มันต้องเจ๋ง ทุกคนต้องยอมรับมัน พอคิดแล้วก็ลุย ลุย ลุย อย่างเดียว ไม่ได้วางแผน ไม่ลองเริ่มทำจากเล็กๆ ก่อนแล้วค่อยขยายให้ใหญ่ขึ้น ยิ่งบางคนที่ทำงานประจำอยู่พอมีไอเดียปุ๊บ ลาออกจากงานประจำมาทำเต็มตัวเลย แล้ว ณ วันที่ลาออกมาทำยังไม่รู้เลยว่าสิ่งที่กำลังจะทำนั้นไปได้ดีหรือเปล่า หรือพูดง่ายๆ ก็คือ ธุรกิจยังไม่พร้อมเลยแต่โฆษณาให้ลูกค้ามาใช้สินค้าและบริการแล้ว
เพราะฉะนั้นทางที่ดีเราควรจะเริ่มทำธุรกิจของเราแบบเงียบๆ ก่อน ยังไม่ต้องรีบโฆษณา ดูเสียงตอบรับจากลูกค้ารายแรกๆ ว่างานที่เราทำออกมาดีหรือไม่ดี ต้องปรับปรุงตรงไหนบ้าง เพราะบางครั้งลูกค้าก็มีความคาดหวังจากสินค้าและบริการมากจนเรานึกไม่ถึงเลยทีเดียว ซึ่งคนที่ทำธุรกิจบางครั้งจึงเริ่มเปิดกิจการอย่างไม่เป็นทางการ เหมือนเป็นการดูความต้องการของลูกค้า และปรับปรุงไปจนถึงจุดที่คิดว่าพอดี แล้วจึงประกาศตัวเปิดกิจการอย่างเป็นทางการ ทำโฆษณาให้มีคนรู้จักในวงกว้างก็ยังไม่สาย
ลงทุนเกินตัว
เหมือนจะเป็นจุดอ่อนของเจ้าของกิจการหน้าใหม่ที่ใจใหญ่ คือ คิดไปเองว่าสิ่งที่ทำมันจะต้องไปได้ดี จะต้องมีคนมารุมซื้อเป็นอย่างมาก เพราะฉะนั้นมีเงินทุนเท่าไรก็ใส่ลงไปให้หมด แถมบางครั้งเงินที่มีอยู่ไม่พอก็ไปกู้เงินมาอีก แบบนี้ก็มีแต่เจ๊งอย่างเดียวแน่อน ถ้าเรากำลังจะเริ่มกิจการอะไรก็ตามต้องยึดหลัก “ทำรังแต่พอตัว” หรือ “เศรษฐกิจพอเพียง” น่าจะดีกว่า คือ มีเท่าไรก็เริ่มทำเท่านั้นก่อน พอเห็นกิจการที่ทำอยู่ไปได้ด้วยดีก็ค่อยขยายเพิ่ม แล้วถ้าอยากจะกู้เงินมาลงทุนต้องนึกไว้เสมอว่าจะลงทุนเพิ่ม 1 แสน ก็กู้มาแค่ 1 แสนเท่านั้น อย่ากู้มาเกินความสามารถในการจ่ายชำระหนี้ เพราะถ้าการขายสินค้าหรือบริการของเราอาจจะไม่เป็นไปตามแผนหรือเป้าหมายที่กำหนด ก็อาจจะทำให้เราขาดเงินไปจ่ายคืนธนาคาร สิ่งที่ตามมาก็คือ ดอกเบี้ยที่แสนจะแพง ดีไม่ดีเราอาจจะไม่เงินมาจ่ายคืนธนาคารก็เป็นได้
ไม่มีแผนสำรอง
สิ่งหนึ่งที่คนเป็นเจ้าของกิจการอาจจะลืมหรือไม่ได้ให้ความสำคัญกับมันเลยก็คือ “แผนสำรอง” เพราะอาจจะเกิดจากความมั่นใจในการบริหารงานของตัวเองมากเกินไป จนทำให้ละเลยต่อการคิดแผนสำรองให้กับธุรกิจของตัว และมักจะบอกกับตัวเองกับคนรองข้างว่ามันไม่มีวันเกิดขึ้น แต่ไม่เคยถามว่าแล้วถ้ามันเกิดขึ้นกับธุรกิจของเรา เราจะทำยังไงต่อไป และยิ่งไม่เคยคิดต่อไปอีกว่าถ้าเกิดเหตุการณ์ที่แย่ที่สุดสำหรับกิจการของเราแล้วเรามีแผนที่จะรับมือกับมันยังไงบ้าง เพราะฉะนั้นหากคิดจะทำธุรกิจสักอย่างแล้วอย่าลืมทีจะคิดแผนสำรองให้กับธุรกิจของตัวเองด้วยว่า ถ้ามีเหตุการณ์ร้ายแรงต่างๆ เกิดขึ้นมาแล้วเราจะทำยังไงต่อไป
ไม่มีเงินทุนสำรอง
อีกเรื่องที่หลายๆ คนมักไม่ค่อยเตรียมให้พร้อมอีกเหมือนกัน นั่นก็คือ เงินทุนสำรอง เพราะเราไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง อาจจะมีปัญหาที่เกิดจากลูกค้าจ่ายเงินให้กับเราไม่ตรงกำหนด ถ้าเล็กน้อยก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเป็นจำนวนเงินที่มากอยู่ และเราต้องรักษาสภาพคล่อง นั่นก็อาจจะเป็นปัญหาทำให้กิจการของเราเกิดปัญหาได้ และที่สำคัญสำหรับเจ้าของกิจการใหม่ คือ ต้องแยกเงินส่วนตัวกับเงินส่วนของกิจการออกจากกันอย่างเด็ดขาด เพราะจะได้ลงบัญชีให้ถูกต้องและไม่มั่วในการใช้เงินนั่นเอง
เพราะฉะนั้นทุกวันนี้มีนักธุรกิจหน้าใหม่เกิดขึ้นเยอะมาก แต่มีไม่กี่คนที่สามารถอยู่รอดในตลาดได้ เพราะฉะนั้นหากเราคิดจะเป็นเจ้าของธุรกิจสักอย่างแล้วล่ะก็ อย่าลืมที่จะเอาข้อผิดพลาดข้างบนมาทบทวนและวางแผนรับมือกันด้วยนะ เพื่อให้เราเป็นหนึ่งในธุรกิจที่สามารถอยู่รอดและประสบความสำเร็จในตลาดได้