คนรุ่นใหม่ในยุคปัจจุบันนี้ล้วนแล้วแต่มีความจำเป็นในการต่อสู้ดิ้นรนเพื่อความก้าวหน้าในชีวิตอย่างแท้จริง เห็นได้ชัดว่าหลาย ๆ คน ล้วนแล้วแต่ทุ่มเทกับงานในทุกลมหายใจเข้าออก แต่ทว่าครอบครัวและความสุขในชีวิตก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม เพราะครอบครัว คือ ฐานรากแห่งความรักที่จะหนุนนำให้ชีวิตของคุณมุ่งไปสู่ความสำเร็จและความสุขที่ไม่สามารถหาได้จากที่แห่งใด ด้วยการตระหนักรู้ถึงความสำคัญของความสุขและการให้ความสำคัญกับคนรอบข้าง จึงเป็นเหตุให้คำว่า Work life balance เริ่มมีอิทธิพลกับคนรุ่นใหม่มากยิ่งขึ้น
Work life balance เปรียบได้กับการใช้ชีวิตให้สมดุลของคนรุ่นใหม่ที่มักมุ่งมั่นกับการทำงานอย่างหามรุ่งหามค่ำ แต่ทว่าลืมดูแลเอาใจใส่คนรอบตัว หลาย ๆ ครั้ง ปล่อยเวลาแห่งครอบครัวให้ล่วงเลยไปอย่างเปล่าประโยชน์จนคนในครอบครัวเหินห่าง การหาจุดกึ่งกลางและความสมดุลในชีวิตนับเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม
สาเหตุที่ต้องให้ความสำคัญกับ Work-Life Balance
จากผลสำรวจในปัจจุบันพบว่า Work-Life Balance เป็นผลสำคัญที่ทำให้พนักงานลาออกจากงาน ดังนั้น หลาย ๆ องค์กร จึงเริ่มตระหนักถึงความสำคัญของสิ่งนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ จากผลสำรวจบอกว่าที่ทวีปอเมริกากลางนั้นมีความสมดุลในชีวิตกับการทำงานมากที่สุด ส่วนอันดับรองลงมา ได้แก่ ทวีปยุโรป สำหรับประเทศไทยนั้นพบว่าปัญหาของพนักงาน คือ การที่องค์กรไม่สนับสนุนตนเอง ซึ่งสิ่งนี้นับเป็นสิ่งที่ผู้บริหารควรตระหนักให้ได้มากที่สุด ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันปัญหาพนักงานไม่ทุ่มเทให้กับองค์กร
ทั้งนี้จากปัญหาที่พบส่วนใหญ่นั้นมาจากการที่องค์กรมักให้พนักงานทุ่มเทการทำงานเพื่อให้ได้ผลลัพธ์มากขึ้น โดยที่ลดการใช้ทรัพยากรลง ซึ่งการกระทำนี้ก่อให้เกิดการแบกรับภาระเนื้องานมากกว่าเดิมของพนักงานและส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ไปยัง Work-Life Balance และทำให้พนักงานทำงานได้อย่างไม่เต็มประสิทธิภาพอีกด้วย
จากผลสำรวจพบว่าพนักงานที่องค์กรของตนเองมีการสนับสนุน Work-Life Balance จะมีความรู้สึกในแง่บวกกับองค์กร และต้องการทำงานให้ดีมากขึ้นไปอีกระดับ ในขณะที่พนักงานของบางองค์กรจะรู้สึกว่าตนเองไม่ได้รับค่าจ้างที่เป็นธรรมหากองค์กรไม่สนับสนุน Work-Life Balance
ทางแก้เพื่อให้พนักงานมี Work-Life Balance ที่สูงกว่าเดิม
ทั้งนี้มีผู้เชี่ยวชาญได้นำเสนอวิธีการทำงานเพื่อแก้ปัญหา Work-Life Balance ที่น้อยลง โดยแนะนำให้องค์กรนำเทคโนโลยีมาใช้ให้เกิดประโยชน์ พร้อมกันนั้นก็ยังควรมีการทำงานนอกสถานที่ให้มากกว่าเดิม หรืออาจจะเพิ่มความยืดหยุ่นสำหรับเวลาการทำงานเพื่อไม่ให้พนักงานตึงเครียดมากจนเกินไปนัก
นอกจากจะแก้ปัญหาเบื้องต้นแล้ว ผู้เชี่ยวชาญยังแนะนำให้องค์กรแก้ปัญหาระยะยาวด้วยการส่งเสริมให้พนักงานทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมกันนั้นยังแนะนำให้องค์กรส่งเสริมการเรียนรู้ให้กับพนักงานเพื่อพัฒนาศักยภาพอีกระดับหนึ่ง ทั้งนี้ก็เพื่อให้พนักงานมีเวลาเป็นส่วนตัวมากกว่าเดิมและรู้สึกในแง่บวกกับองค์กรมากยิ่งขึ้น
เคล็ดลับในการรักษาสมดุลของชีวิต
การรักษาความสมดุลในชีวิตของการทำงานและชีวิตส่วนตัว นอกจากจะต้องอาศัยความช่วยเหลือกับองค์กรแล้ว พนักงานเองก็ควรที่จะรักษาสมดุลในชีวิตดังเคล็ดลับต่อไปนี้
1.บริหารเวลาให้เป็น
เพราะทุกคนมีเวลาเท่ากันคือ 24 ชั่วโมงต่อวัน การบริหารเวลาให้มีประสิทธิภาพสูงสุดเพื่อให้เกิดประโยชน์จึงเป็นสิ่งที่พนักงานทุกคนควรทำให้ได้ หากปล่อยปละละเลยเวลาให้หมดไปโดยเปล่าประโยชน์ สิ่งที่มุ่งหวังก็ไม่สำเร็จไปได้อย่างแน่นอน สุดท้ายพนักงานที่บริหารเวลาไม่เป็นก็จำต้องทำงานล่วงเวลาหรือต้องนำงานกลับไปทำที่บ้าน ส่งผลกระทบต่อเนื่องเป็นลูกโซ่นั่นก็คือ การมีเวลากับครอบครัวที่น้อยลงไปนั่นเอง สำหรับการบริหารเวลานั้นควรเริ่มต้นด้วยการฝึกฝนพร้อมอาศัยประสบการณ์ที่ผ่านมา เริ่มต้นจากการให้ความสนใจในด้านของการบริหารเวลามากกว่าเดิม หรืออาจจะใส่ใจให้มากเท่ากับงานที่ต้องรับผิดชอบในแต่ละวัน หากมีการบริหารจัดการเวลาที่ดีพนักงานจะพบว่าเวลา 24 ชั่วโมง เพียงพอสำหรับการทุ่มเทให้กับงานและทุ่มเทให้กับชีวิตครอบครัว
2.ไม่ละเลยสุขภาพของตนเอง
การรักษาสุขภาพเปรียบได้กับการรักษาต้นทุนชีวิตของตนเอง ยามที่ร่างกายแข็งแรงมนุษย์ทั่วไปมักละเลยการดูแลสุขภาพ แต่กลับตระหนักได้ถึงความสำคัญของสุขภาพก็ต่อเมื่อร่างกายอ่อนแอ ล้มป่วย หากต้องการรักษาสุขภาพมากกว่าเดิม สิ่งที่ไม่ควรมองข้าม คือ การตรวจสุขภาพประจำปี หรืออาจจะนั่งสมาธิรวมไปถึงการออกกำลังกาย สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นการรักษาต้นทุนชีวิตให้คงอยู่ เมื่อสุขภาพกายแข็งแรง สมองก็จะแจ่มใสมากขึ้นและก่อให้เกิดประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้น
3.ยืดหยุ่นเวลาการทำงานและความสมดุลในชีวิต
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน หรือเรื่องส่วนตัวก็ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญ นอกจากนี้พนักงานก็จำเป็นจะต้องรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่อาจจะเกิดขึ้นได้ทุกเวลา หากช่วงใดที่งานเร่งพนักงานอาจจะทุ่มเทเวลาให้กับการทำงานมากกว่าเดิม แต่เมื่องานเสร็จลงแล้ว การพักผ่อนและให้รางวัลในชีวิตกับตนเองก็นับเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม ทั้งนี้ การกำหนดเป้าหมายนับเป็นสิ่งที่ควรทำตั้งแต่เริ่มการทำงานเลยทีเดียว
การให้ความสมดุลในการทำงานและชีวิตครอบครัวแม้จะมีหลาย ๆ สิ่งที่แตกต่างกันออกไป แต่ด้วยชีวิตที่มีมากกว่าหนึ่งมิติ การทำความเข้าใจชีวิตให้ครบทุกมิติ จึงนับเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้เกิดความสุขครบถ้วนทุกด้าน ไม่ว่าด้านความรัก หรือด้านความสัมพันธ์กับคนในครอบครัว ทั้งนี้ก็เพื่อให้เกิดความสุขอย่างยั่งยืน