จากข่าว โรงงานของ PANASONIC ที่นิคมอุตสาหกรรม เวลโกลว์ ได้มีการย้ายฐานการผลิตของส่วนงานที่ผลิตหมอหุงข้าว และ กระติกน้ำร้อน ซึ่งหม้อหุงข้าวนั้นจะย้ายฐานการผลิตไปที่มาเลเซีย และ อินเดีย ส่วนกระติกน้ำร้อนนั้นจะย้ายฐานไปที่โรงงานในอมตะนคร ซึ่งจากการปรับโครงสร้างครั้งนี้ทำให้มีคนงานลาออกโดยสมัครใจตามโครงการ โครงการจำใจจาก ของบริษัท ซึ่งจะให้ค่าชดเชยต่างๆเช่น ค่าตกใจ(ที่ต้องออกจากงาน)โดยค่าชดเชยอยู่ที่ 2 เดือน และ โบนัสประมาณ 9-10 เดือน เงินชดเชย 15-20 เดือน และ เงินพิเศษอื่นๆที่บริษัทจัดให้เพื่อเป็นการขอบคุณ เพราะพนักงานส่วนใหญ่ของทั้งสองแผนกนี้เป็นพนักงานที่มีอายุงานส่วนใหญ่เกิน 10 และมีอายุประมาณ 37-54 ปีเป็นส่วนมาก
แม้ว่าทางบริษัทจะให้คัดเลือกพนักงานตามไปทำงานที่อมตะนครแต่ก็ไม่ทั้งหมดและพนักงานส่วนมากต้องเข้าโครงการนี้ซึ่งถือเป็นทางออกที่ดีของพนักงานที่จะมีทุนก้อนโตไว้สำหรับเริ่มต้นใหม่แม้จะไม่มากแต่ก็พอที่จะช่วยให้มีเงินเลี้ยงชีพ หรือ จัดการภาระต่างๆได้ก่อนที่จะต้องมาเริ่มต้นกันใหม่อีกครั้ง
ซึ่งอ่านแล้วทำให้มองเห็นสัจธรรมความเป็นจริงได้อย่างหนึ่งว่า ชีวิตการทำงานไม่มีความแน่นอนอะไรสักอย่าง ปัจจัยเกิดจากสภาพทางเศรษฐกิจ ซึ่งคนที่ ออกจากงาน ในครั้งนี้ส่วนใหญ่เป็นคนที่ทำงานกับโรงงานมานาน อายุก็มากการหางานทำอีกครั้งบอกได้เลยว่ายากมากสำหรับการหางานตามระบบเช่น โรงงาน บริษัท หรือ แม้แต่ร้านอาหารต่างๆเพราะปัจจุบัน คู่แข่งด้านแรงงานมีเพิ่มมากขึ้น เด็กรุ่นใหม่ทีมีความรู้ความสามารถก็มีเยอะ แรงงานต่างด้าวที่มีใบอนุญาตทำงานถูกต้องก็มีเยอะ และ ปัจจัยหลักคือ นายจ้าง หรือ เจ้าของกิจการส่วนมากไม่นิยมจ้างแรงงานที่มีอายุมาก ดังนั้นหากกลุ่มพนักงานที่ ออกจากงาน ครั้งนี้ยังมีภาระหนี้สิน หรือ ภาระเลี้ยงดูครอบครัว แน่นอนว่าจะลำบากเพราะต้องหาอาชีพที่รองรับค่าใช้จ่ายเหล่านั้น
ถึงแม้ว่าจะได้เงินก้อนเพื่อชดเชย แต่สำหรับบางคนก็แค่พอปลดภาระหนี้สิน แต่ภาระอื่นๆคงยังต้องหารายได้มาจุนเจือกันต่อ หรือ บางคนปลดหนี้ได้แค่บางส่วนก็ต้องหาทางรอดในอนาคตกันต่อไป นี่เป็นเรื่องที่เราอาจจะพบเห็นกันได้อีกเพราะสภาพเศรษฐกิจในบ้านเรา ทำให้เจ้าของกิจการเลือกที่ต้องรักษาความอยู่รอดของบริษัท ต้องรักษาคนจำนวนมากไว้ และหากทางออกให้คนจำนวนน้อยที่ต้องถูกลอยแพออกจากบริษัทอย่างไม่ทันรู้ตัว ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่น่าเห็นใจและเรื่องนี้ คงพอทำให้หลายๆคนนึกภาพตัวเองออกบ้างว่าหากเจอเหตุการณ์แบบนี้จะทำอย่างไร ซึ่งแม้ว่าตอนนี้ยังไม่เกิดกับตัวเอง
อ่านเพิมเติม >>> ผ่านวิกฤต การตกงาน ไปได้อย่างไรดี ? <<<
แต่สิ่งหนึ่งที่สะท้อนได้คือ เรื่องเงิน หากใครที่มีเงินเก็บ มีหนทางสำรองไว้เช่น อาชีพเสริม และ ไม่มีภาระหนี้สินที่มากมายนัก การเจอเหตุการณ์แบบนี้ก็ไม่ส่งผลกระทบมากมายนักเพราะยังมีรายได้จากงานเสริม เงินที่ได้มาก็นำไปปลดหนี้ เงินออมยังพอมีเลี้ยงตัว เผลอๆจะมีเงินสำหรับเป็นทุนเพิ่มให้สามารถเปิดกิจการเล็กๆได้
บอกแบบนึกออกไหมว่าเรากำลังเตือนทุกคนให้หาหนทางสำรองไว้ เก็บเงิน และ ไม่สร้างหนี้จนล้นตัว เพราะแม้ว่าตอนนี้คุณยังมีรายได้ประจำ มีงานประจำ แต่หากวันไหนต้องออกจากงานแบบกะทันหันคุณยังมีทางสำรอง และคุณอาจไม่โชคดีเหมือนคนกลุ่มนี้ที่ทางบริษัทให้เงินชดเชยอย่างสมน้ำสมเนื้อ เพราะมีหลายๆครั้งที่หลายๆโรงงาน หรือ บริษัท ปลดคนงานโดยที่ไม่มีเงินตอบแทนให้ต้องรวมตัวกันฟ้องร้องก็มีข่าวอยู่บ่อยๆ หรือ บางคนโดนกลั่นแกล้งให้ ออกจากงาน แบบที่เรียกร้องอะไรไม่ได้ก็มี
ชีวิตคนเรานั้นความแน่นอนคือความไม่แน่นอน ความไม่แน่นอนคือความแน่นอน ทุกอย่างแค่พลิกฝ่ามือ เตรียมตัว เตรียมพร้อม ไว้เสมอจะเป็นการดีที่สุด หากคิดไม่ออกว่าที่เราบอกมันคืออะไร ลองไปอ่านบทความเรื่อง >> เคล็ดลับการเงินแบบ 2 ทางเข้า 5 ทางออก << แล้วคุณจะเข้าใจมากยิ่งขึ้น