เชื่อว่าในสังคมการทำงานนั้น สิ่งหนึ่งที่หลาย ๆ คน น่าจะเคยประสบพบเจอ หรือกำลังประสบอยู่ก็แล้วแต่ นั่นคือการถูกเจ้านาย หรือผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่ากดดันให้ลาออกไปเอง
การถูกกดดันให้ลาออก หมายถึง การที่เจ้านายหรือผู้มีอำนาจเหนือว่าเรา ใช้สงครามประสาทเพื่อบีบให้เราเกิดความเครียด กดดัน จนไม่อาจจะทนทำงานในสภาวะอย่างนั้นต่อไปได้และขอลาออกไปเอง ผู้ใดที่ถูกเจ้านายกระทำเช่นนี้อยู่ ย่อมหมายความว่า ผู้เป็นนายอยากจะไล่คน ๆ นั้นออกใจจะขาด แต่หากไล่ออกกันแบบจัง ๆ อาจถูกเพ่งเล็งว่าไม่เป็นธรรมได้ ยิ่งถ้าถูกลูกจ้างที่ไล่ออกไปฟ้องร้องเอาก็ยิ่งเป็นเรื่องใหญ่ เพราะฉะนั้น เจ้านายจึงเลือกใช้วิธีนี้มาเป็นตัวบีบให้ลูกจ้างคนนั้นทนไม่ไหว แล้วขอลาออกไปเองนั่นเอง
ซึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดพฤติกรรมเช่นนี้ระหว่างเจ้านาย กับลูกน้องคนใดคนหนึ่งนั้นมีได้หลายประการด้วยกัน เช่น การขัดผลประโยชน์ระหว่างกัน ความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นระหว่างกันโดยตรง หรือเกิดจากการยุยงของบุคคลที่สาม การแบ่งพรรคแบ่งพวกที่ก่อให้เกิดการกำจัดกันไปมา รวมไปถึงการที่ลูกจ้างคนนั้นไร้ประสิทธิภาพในการทำงาน ขี้เกียจ ทำงานได้ไม่ดี ประพฤติผิดกฎของบริษัทอยู่บ่อยครั้ง สาเหตุเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ก่อให้เกิดความรู้สึกที่ไม่ดีให้แก่นายจ้าง และทำให้นายจ้างนำมันมาเป็นเหตุผลสำหรับกดดันให้ลูกน้องคนใดคนหนึ่งลาออกได้ สภาวะเช่นนี้ย่อมก่อให้เกิดเมฆหมอก หรือความอึมครึมในบริษัท จนบางครั้งมันไม่ได้ก่อความเครียดให้กับแค่ลูกน้องที่กำลังโดนบีบอยู่เท่านั้น แต่ยังทำให้บรรยากาศการทำงานต้องเสียไป พาลทำให้ลูกน้องคนอื่น ๆ ต้องเครียดไปด้วย
ทีนี้ เราจะรู้ได้อย่างไรกันละว่าตัวเรากำลังเข้าข่ายถูกบีบออก หรือมีใครในบริษัทที่กำลังถูกบีบออกหรือเปล่า เราสามารถสังเกตได้จากพฤติกรรมต่อไปนี้ หากพบว่าเจ้านายกำลังปฏิบัติอย่างนี้กับเรา หรือเพื่อนร่วมงานเราสักคนใดคนหนึ่งอยู่ ให้มั่นใจได้เลยว่ากำลังถูกบีบให้ออกอยู่อย่างแน่นอน ดังนี้
- เจ้านายเริ่มมีอาการเปลี่ยนไป จากเดิมที่เคยพูดคุยด้วย ทักทายบ้าง กลับไม่สนใจ ทำหน้าบึ้งตึง หรือทำราวกับว่าเราเป็นอากาศธาตุ พฤติกรรมดังกล่าวนี้หากเป็นอยู่แค่ 1-2 วัน ก็อาจถือว่าเป็นเรื่องของ “เลือดจะไป ลมจะมา” ได้ แต่ถ้าเป็นติดต่อกัน 1 อาทิตย์ขึ้นไปละก็ ให้มั่นใจได้เลยว่าเจ้านายเริ่มเปิดสงครามประสาทกับเราแล้ว
- สั่งงานจำนวนมากมาให้เราทำแบบไม่ทันตั้งตัวอยู่บ่อย ๆ ไม่สนใจว่าเราจะทำมันเสร็จทันหรือเปล่า หรือในทางตรงกันข้าม เอางานที่ปกติเป็นหน้าที่ของเราไปให้คนอื่นทำ แล้วปล่อยเราลอยไว้เฉย ๆ ไม่ให้ทำอะไรเลย ข้อนี้ถือว่าเป็นการเริ่มต้นสงครามอย่างเป็นทางการ เพราะไม่ว่าจะเป็นสภาวะไหนก็ตาม ย่อมก่อให้เกิดความรู้สึกกดดันขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
- ไม่สนใจงานที่เราส่งไปเลย บางครั้งแทบจะไม่ชายตามองด้วยซ้ำ หรือในทางตรงกันข้าม จู้จี้จุกจิกกับงานของเรามากขึ้น ไอ้โน่นก็ไม่ได้ ไอ้นี่ก็ไม่ดี ให้แก้วนมันอยู่นั่นแหละ
- ให้เลื่อนขั้นไปทำอะไรแปลก ๆ ที่เราไม่ถนัด เช่น ตอนแรกเป็น QC อยู่ดี ๆ ให้ย้ายไปทำบัญชี เป็นต้น หากเจ้านายทำอย่างนี้ มั่นใจได้เลยว่าเขากำลังทำให้เรารู้สึกกดดันจนอยากลาออก
- รับสมัครพนักงานใหม่ในตำแหน่งของเรา วิธีการนี้ถือว่าโจ่งแจ้งที่สุด เหมือนเป็นการไล่เราออกกลาย ๆ เลยทีเดียว
พนักงานหลายคนที่กำลังเจอสถานการณ์บีบคั้นให้ลาออกเช่นนี้อยู่ เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ อาจเกิดความสงสัยว่า ถ้าอย่างนั้นเราควรแก้ปัญหาอย่างไรดีละ ที่จะทำให้สถานการณ์บีบคั้นอย่างนี้ซาลง หรือกลับมาทำงานได้อย่างสบายใจเหมือนเดิม เรามีวิธีการมาแนะนำดังต่อไปนี้
- เมื่อเริ่มเจอสถานการณ์มึนตึง ขอให้เข้าไปพูดคุย เจรจา เพื่อให้ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น ถ้าหัวหน้าเปรยอะไรบางขึ้นมา ให้นำมาขบคิดว่าเกี่ยวข้องอะไรกับเราหรือเปล่า ถ้าเกี่ยว จงทำการแก้ไขข้อนั้นซะ แล้วเข้าหาหัวหน้าบ่อย ๆ เพื่อลดความตึงเครียดลง
- อย่าใช้อารมณ์ในการแก้ปัญหา ต่อให้เจอกับคำพูดแรง ๆ อย่างไรก็ตาม มีสติอยู่เสมอ แล้วทุกอย่างจะดีขึ้นเอง
- ปรับเปลี่ยนตัวเองให้เข้ากับสถานการณ์ บางครั้งการเป็นคนพูดตรง ๆ ทำอะไรตรง ๆ มันอาจจะไม่เหมาะกับทุกสถานการณ์ อย่าลืมว่าหัวหน้าบางคนก็ชอบคำสอพลอ ชอบการประจบ เพราะฉะนั้นเราอาจจะต้องงัดเล่ห์เหลี่ยม มารยาร้อยเล่มเกวียนออกมาใช้บ้าง เพื่อให้สามารถเอาตัวรอดในสังคมการทำงาน และหยุดการถูกบีบออกได้
- หางานใหม่ การแก้ปัญหาข้อนี้ถือว่าเป็นที่สุดแล้ว ในกรณีที่สถานการณ์ใด ๆ มันไม่ดีขึ้น หรือหัวหน้าใช้วิธีรับสมัครพนักงานใหม่ในตำแหน่งของเราเพื่อบีบให้เราออก การลาออกอาจถือว่าเป็นวิธีที่ทำให้เราสบายใจที่สุด แต่อยากจะขอว่า ขอให้ใช้วิธีนี้เป็นวิธีสุดท้าย เนื่องจากการลาออกมันเท่ากับว่าเราต้องไปเริ่มนับหนึ่งใหม่ในชีวิตการทำงาน หนทางข้างหน้าจะดี จะร้าย ก็ไม่อาจจะรู้ได้ หากลาออกแล้วหางานใหม่ไม่ได้ ย่อมส่งผลให้เราต้องเจ็บตัวพอสมควร
การถูกกดดันให้ลาออก เป็นสถานการณ์ที่ผู้ทำงานทุกคนย่อมไม่อยากเจอ และมีสาเหตุทั้งที่เป็นธรรมและไม่เป็นธรรม สิ่งสำคัญที่อยากจะขอแนะนำให้ผู้ที่กำลังประสบชะตามกรรมเช่นนี้อยู่ คือ จงมีสติ อย่าใช้อารมณ์ในการแก้ปัญหา แล้วทุกอย่างมันจะผ่านพ้นไปได้ด้วยดีเอง