คนที่กำลังอยู่ในวัยทำงานทุกคนต่างก็ต้องการ ได้รับเงินเดือนสูงๆ กันทั้งนั้น อย่างน้อยก็ขอให้เป็นจำนวนที่พอใช้จ่ายตลอดเดือน เหลือเก็บบ้างเล็กน้อยก็ยังดี แต่ค่าครองชีพที่สูงขึ้นในปัจจุบัน ทำให้คนทำงานต้องเสียเงิน เสียค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในการใช้ชีวิตมากขึ้น แม้จะเป็นรายจ่ายที่สำคัญ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะขาดไม่ได้ หรือเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย จะดีกว่ามั้ยถ้าเราสามารถลดค่าใช้จ่ายในส่วนนั้น เพื่อให้มีเงินเพียงพอต่อการใช้จ่ายในแต่ละเดือน และเหลือเงินเก็บด้วย
เมื่อทำงานไปได้สักระยะหนึ่งแล้ว เงินเดือน ย่อมมากกว่าช่วงที่เริ่มต้นทำงานใหม่ๆ แต่เคยสงสัยกันไหมว่าทำไมยังไม่พอใช้จ่ายเสียที หนำซ้บางคนยังมีหนี้ด้วย ลองมองย้อนกลับไปดูการใช้จ่ายในอดีต หากคนทำงานอย่างคุณไม่ก่อหนี้ โดยเฉพาะหนี้บัตรเครดิต เพื่อซื้อหาทุกสิ่งที่ต้องการ ป่านนี้ก็คงไม่ต้องเอาเงินที่ได้รับในแต่ละเดือนมาใช้หนี้ ทำให้ชักหน้าไม่ถึงหลังกันอยู่บ่อยๆ หากคนทำงานอย่างคุณมีรายได้หลักพัน หรือแค่หลักหมื่นต้นๆ แต่ซื้อเสื้อผ้า เครื่องประดับราคาแพงใส่ไปทำงาน ต้องมีโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ราคาสองสามหมื่น สิ่งนี้แหละที่ทำให้คุณมีหนี้สิน
เพราะฉะนั้นจึงเป็นคำตอบว่า ทำไมมีเท่าไหร่ก็ไม่พอใช้เสียที เพราะความต้องการก็โตขึ้นตามรายได้เหมือนกัน ลองพิจารณาดูว่าในช่วงเริ่มต้นชีวิตการทำงาน คุณอาจได้เงินเดือนในระดับหมื่นต้นๆ แต่เมื่อมีเงินเดือนมากขึ้น ความต้องการต่างๆก็มากขึ้นเป็นเงาตามตัว ทั้งผ่อนบ้าน ผ่อนรถ รวมทั้งการก่อหนี้สินเพียงเพื่อตอบสนองความต้องการส่วนตัว ความไม่มีวินัยในการใช้เงินเหล่านี้เองที่ทำให้การเงินแย่ หาเงินได้เท่าไหร่ก็ไม่พอใช้เสียที
หนทางที่ดีที่สุดในการจัดการกับปัญหาข้างต้นนั่นคือ การเปลี่ยนทัศนคติ และการดำเนินชีวิตของตัวคุณเองนั่นแหละ แล้วมีอะไรที่ควรเปลี่ยนบ้างล่ะ มาดูกัน
1. ปรับเปลี่ยนความคิด
ความคิดที่ว่าได้แก่ เงินเดือนน้อยไม่พอใช้ มาเป็น ต้องการที่เก็บออมเพื่ออนาคตวันข้างหน้าของตัวเราเอง โดยการออมเงินกับประกันชีวิต และฝากเงินกับธนาคาร จะได้มีความมั่นคงในชีวิตหลังเกษียณ หรือมีเงินสำรองใช้หากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นกับชีวิต
2. มีการจัดสรรการใช้เงินก่อนที่จะกดเงิน
ทุกครั้งก่อนที่จะเบิกเงินออกมา ควรพิจารณาถึงความจำเป็นในการใช้เงินนั้นๆ ตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไป เพื่อจัดสรรเงินเดือนได้เป็นส่วนๆว่าส่วนใดต้องนำไปใช้จ่ายสิ่งใดบ้าง จะทำให้เรารู้ว่าเงินที่จ่ายไปแต่ละเดือนจนไม่เหลือกินเหลือเก็บนั้น รายจ่ายใดไม่มีความจำเป็น ฟุ่มเฟือย และสามารถตัดทิ้งได้ ค่อยๆตัดรายจ่ายส่วนนั้นออกไป สุดท้ายก็จะสามารถบริหารรายได้ให้พอกับการใช้จ่ายได้
3. ปรับเปลี่ยนการดำเนินชีวิต
ไม่ฟุ้งเฟื้อ คนทำงานธรรมดาๆ ที่มีเงินเดือนหลักหมื่นต้นๆ ไม่ควรจะมีหนี้ ไม่ควรทำบัตรเครดิต ทำอาหารมารับประทานที่ทำงานบ้าง ดื่มกาแฟที่เป็นสวัสดิการที่ทำงานก็จะสามารถลดค่าใช้จ่ายไปได้เยอะ เลือกเดินทางไปทำงานด้วยวิธีที่ประหยัด แม้อาจจะต้องตื่นเช้าขึ้นก็ต้องอดทน “ทำ” เพราะนี่คือชีวิตของคุณ การใช้จ่ายอย่างรัดกุมจะทำให้คุณมีเงินเหลือเก็บ ดูความพร้อมก่อนตัดสินใจเป็นหนี้ ทั้งการผ่อนบ้าน ผ่อนรถยนต์ จะทำให้ไม่ต้องเครียดเพราะชักหน้าไม่ถึงหลัง
4. จงคิดไว้เสมอว่า ไม่มีอะไรที่แน่นอนไปตลอด
ดังนั้น การออมจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะไม่ว่าจะเป็นหน้าที่การงาน สุขภาพ หรือเหตุการณ์ต่างๆในชีวิตล้วนไม่มีความแน่นอน เพราะฉะนั้นหากเกิดเหตุการณ์เหนือความคาดหมาย คุณจะได้มีเงินสำรองไว้ใช้จ่ายในเหตุการณ์เหล่านั้น ทั้งการเจ็บป่วย หรือเกิดอุบัติเหตุที่ทำให้คุณไม่สามารถทำงานได้อีกต่อไป
อย่างไรก็ตามอย่าเคร่งเครียดกับการเก็บเงินมากจนทำให้คุณใช้ชีวิตอย่างไร้สุข ความสุขในการใช้ชีวิตนั้นมีได้แต่เป็นความสุขตามอัตภาพ ไม่ใช่สุขแบบฟุ้งเฟ้อ ถ้าไม่เปลี่ยนวิถีชีวิตของตัวเอง เงินเดือนเท่าไหร่ก็ไม่พอใช้ หากคุณยังตัดสารพัดกิเลสและความฟุ่มเฟือยออกไปไม่ได้
ที่สำคัญที่สุดคือ การแบ่งสัดส่วนในการใช้เงินเดือนอย่างเหมาะสม ใช้จ่ายในชีวิตประจำวันส่วนหนึ่ง เก็บออมส่วนหนึ่ง หาความสุขเล็กๆน้อยๆใส่ตัว แต่ไม่มากจนเกินไป ซื้อเสื้อผ้าใหม่บ้าง ซื้อหนังสือดีๆ อ่านเพื่อเพิ่มเติมความรู้ รับประทานอาหารนอกบ้านในบางครั้ง หรือเก็บเงินเพื่อซื้อสิ่งที่อยากได้ ก็เป็นการให้รางวัลแก่ตัวเองได้เป็นอย่างดี จะได้มีกำลังใจในการเก็บเงินมากขึ้น