เชื่อหรือไม่คะว่า การที่คน ๆ หนึ่งสามารถหาเงินได้เป็นพันเป็นหมื่นล้านนั้น ก็อาจจะไม่ได้เป็นบทพิสูจน์ว่าคน ๆ นั้นจะร่ำรวยได้ตลอดไป เท่ากับคนที่หาเงินได้จำนวนไม่มากมายอะไรแต่รู้จักบริหารเงินที่ได้มานั้นให้ออกดอกออกผลได้เป็นอย่างดีค่ะ คุณ ๆ อยากรู้กันบ้างหรือเปล่าคะว่ามหา เศรษฐีเงินล้าน ส่วนใหญ่นั้น เขามีวิธีจัดการกับกองเงินมหาศาลของเขากันอย่างไร เขาใช้จ่ายอู้ฟู่เหมือนอย่างที่เราเห็นในละครทีวีไทยกันหรือเปล่า ประเภทวัน ๆ พระเอกก็จูงมือนางเอกไปเดินห้าง, กินดินเนอร์หรู ๆ หรือพาขับรถแพง ๆ หรู ๆ ไปเที่ยวตลอด ๆ ไม่เป็นเดือดเป็นร้อนกับการทำงานหาเงินกันบ้างเลย
ซึ่งในความเป็นจริงนั้น เศรษฐีเงินล้าน ระดับโลกพวกเขากลับไม่ได้ใช้จ่ายเงินเก่งขนาดนั้น ในทางตรงกันข้าม คนที่เป็นเศรษฐีจริง ๆ เขาอาจจะมัธยัสถ์มากกว่าเรา ๆ คนธรรมดาทั่วไปซะอีกค่ะ และนั่นเองที่เป็นกลเม็ดที่ทำให้พวกเขามั่งคั่งทางการเงินกว่าใคร ๆ ค่ะ
ดูอย่าง Michael Bloomberg เจ้าของบริษัทสื่อนิตยสารด้านการเงินอย่าง Bloomberg นิตยสารที่มีผู้ติดตามและให้ความเชื่อถือกันมากทั่วโลก แต่คงไม่มีใครรู้มาก่อนว่าตัวเขาเองใช้รองเท้าแค่ 2 คู่เท่านั้นในช่วงระยะเวลาตลอด 10 ปีที่ผ่านมา โดยเขามองว่าเขาอยากจะใช้จ่ายเงินกับสิ่งอื่น ๆ มากกว่ารองเท้า และเจ้ารองเท้าหนังสีดำทั้ง 2 คู่ของเขาก็สวมใส่ได้สบายดีพอแล้วด้วยค่ะ หรือแม้แต่มหาเศรษฐีระดับโลกอีกคนจากฝั่งเกาะฮ่องกงอย่าง ลี กา ชิง เอง เขาก็มองว่ามีของอยู่ 2 อย่างที่เขาไม่คิดจะสิ้นเปลืองเงินของเขาก็คือเสื้อผ้าและรองเท้าค่ะ ทีนี้ก็ได้เวลาที่คุณ ๆ จะย้อนนึกถึงตัวเองดูสิสักนิดนะคะว่าช่วงระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมานี้ คุณ ๆ หมดเงินไปกับรองเท้ากี่คู่กันแล้ว คิดใหม่ตัดใจงดซื้อรองเท้าคู่ต่อ ๆ ไปตอนนี้ก็ยังทันนะคะ
ถัดมาที่ Ingvar Kamprad ผู้ก่อตั้งร้านเฟอร์นิเจอร์ครบวงจรดีไซน์เก๋ ๆ อย่าง IKEA เขาคนนี้เคยให้นิยามของการใช้เงินในแบบของเขาว่า เขามักจะเลือกที่จะโดยสารเครื่องบินในชั้นประหยัดมากกว่าที่จะเดินทางด้วยเครื่องบินส่วนตัว เพราะเขารู้สึกว่าการเดินทางด้วยเครื่องบินเจตนั้นแพงเกินไปค่ะ เขาไม่เห็นความสำคัญของการซื้อรถสปอร์ตหรู ๆ หรือใส่สูทตัวราคาแพง ๆ เขามองไม่เห็นความจำเป็นของสิ่งเหล่านั้นเลย
เช่นเดียวกับ John Caudwell เจ้าของธุรกิจมือถือ Phone 4 U ที่เคยโด่งดัง ก็เล็งเห็นถึงความสิ้นเปลืองในการขับรถยนต์แพง ๆ ซึ่งเขาเลือกที่จะใช้บริการขนส่งมวลชน หรือไม่ก็ ปั่นจักรยานไปธุระมากกว่าทั้ง ๆ ที่ตัวเขาเองมีทรัพย์สินมูลค่ามากถึง 2.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว ๆ 98,800 ล้านบาทค่ะ
หรือแม้แต่หนุ่มน้อยที่เพิ่งขึ้นแท่นมหาเศรษฐีระดับโลกเจ้าของโซเชียลมีเดียที่ทุกคนต่างก็ต้องเปิดเข้าไปทุกเช้าและก่อนนอน วันละหลาย ๆ รอบอย่าง Facebook ที่ชื่อว่า Mark Zuckerberg ผู้ที่สร้างรายได้มหาศาลมากถึง 3 แสนล้านเหรียญสหรัฐ แต่ทุกวันนี้เขาก็ยังคงขับรถยนต์ธรรมดา ๆ อย่าง Acura ที่ราคาเพียง 3 หมื่นเหรียญสหรัฐ เท่านั้น ทั้ง ๆ ที่จากรายได้ที่เขามีอยู่นั้น Mark สามารถเป็นเจ้าของรถหรู ๆ ไดอีกหลายคันเลยค่ะ
หรือจะเป็น ลูกชายห้างดังอย่าง Walmart หนุ่มคนนี้ Jim Walton ก็ยังเลือกที่จะขับรถยนต์คันเก่าอายุกว่า 15 ปีไปไหนต่อไหน โดยไม่เห็นความจำเป็นอะไรที่จะต้องใช้รถยนต์รุ่นใหม่ล่าสุดราคราแพง ๆ เลยสักนิดค่ะ ทีนี้ หนุ่ม ๆ สาว ๆ เพิ่งเริ่มทำงาน ผู้ที่อยากจะออกรถคันใหม่ราคาแพง ๆ ทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็ยังไม่มีเงินออมกันเลยสักนิด ก็น่าจะเก็บไปคิดดูสักหน่อยนะคะว่า ซื้อรถหรูรถแพงเกินตัวเกินรายได้มากไปนั้น มันใช่หรือเปล่า ลองชั่งน้ำหนักวัดสมดุลย์ระหว่างความคุ้มค่ากับประโยชน์ที่ได้จากรถยนต์ แล้วคิดดูว่ามันสิ้นเปลืองเกินไปหรือเปล่านะคะ
ตัวอย่าง ของการรู้จักคุณค่าและการใช้เงินให้ถูกวิธีนั้น จะขาดเรื่องราว การดำเนินชีวิตของ Warren Buffett มหาเศรษฐีระดับโลก ผู้ที่ใคร ๆ ทั่วโลกต่างก็ยกย่องให้เขาเป็นเจ้าพ่อการเงิน เพราะเขามองอะไรไม่เคยพลาด ลงทุนอะไรก็งอกเงย ซึ่งหนึ่งในกลเม็ดพารวยแบบบัพเฟตต์นั้นก็คือ การใช้ชีวิตเรียบง่าย ธรรมดา แม้กระทั่งในเรื่องของที่อยู่อาศัย บัฟเฟตต์ก็ยังคงพักอยู่ที่บ้านหลังเดิมของเขาในแถบ Omaha ที่เขาซื้อมาตั้งแต่ปี 1958 และในเวลานั้นก็มีราคาเพียง 31,500 เหรียญสหรัฐค่ะ โดยไม่สนใจที่จะเปลี่ยนไปอยู่บ้านที่มีขนาดใหญ่มากขึ้น เพราะรายได้มากกว่าหมื่นล้านเหรียญสหรัฐนั้น เขาสามารถซื้อคฤหาสน์อยู่ได้สบาย ๆ เลยค่ะ แต่เขากลับมองว่าแค่มีบ้านที่เราอยู่ได้สบาย นั่นก็เพียงพอแล้ว จะซื้อบ้านหลังใหญ่โตที่คุณไม่มีเวลาดูแลไปทำไมกัน
นี่แหละค่ะ เป็นคำตอบของคำถามที่ว่า คนบางคนหาเงินเก่งแต่ทำไมไม่รวยสักที เพราะการที่ได้เงินมาว่ายากแล้ว แต่การที่จะรักษาเงินก้อนนั้นให้งอกงามและใช้จ่ายให้สมคุณค่าของมันนี่สิคะ ที่สำคัญกว่ามาก ๆ เลยค่ะ