เมื่อนึกถึงความสะดวกสบาย คล่องตัว และ ดูมีฐานะรวย สำหรับคนหนุ่มคนสาว การมีรถไว้ขับไปไหนต่อไหนในชีวิตประจำวันจึงเป็นเหมือนสิ่งจำเป็นอันดับต้น ๆ เมื่อย่างเข้าสู่วัยทำงาน แต่เอาเข้าจริง ๆ การทุ่มเงินลงไปที่รถยนต์สักคันทันทีที่คุณ ๆ เริ่มมีรายได้นั้นอาจจะไม่ได้ง่าย และ ราบรื่นอย่างที่คิด เพราะรถยนต์หนึ่งคันที่เราเข้าไปเป็นเจ้าของนั้น มีค่าใช้จ่ายและค่าดูแลแอบแฝงไว้อีกมากมายค่ะ ทีนี้ ก่อนที่คุณ ๆ จะถอยรถยนต์ออกมาขับเที่ยวล่ะก็ ลองมาคำนวณกันอีกสักครั้งดีมั้ยว่า ลงทุนรถยนต์ สักคันนั้น คุ้มจริง ๆ หรือเปล่า
ก่อนอื่นเรามาเริ่มกันที่ รถยนต์คันนี้มีความจำเป็นอย่างไรต่อชีวิตของคุณบ้าง เราต้องแยกให้ออกก่อนระหว่าง Need กับ Want ซึ่ง Need ก็คือ สิ่งที่จำเป็น ถ้าไม่มีก็ดำเนินชีวิตไม่ได้ ส่วนว่า Want นั้น คือ ความปรารถนา และ ความต้องการสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งหากไม่มีสิ่งนั้นเราก็ยังคงใช้ชีวิตต่อไปได้
เราจึงควรถามตัวเองให้ดีก่อนว่ารถยนต์สำหรับเรานั้น เป็นสิ่งจำเป็น หรือ แค่ต้องการ เพราะรถยนต์หนึ่งคันราคาไม่ใช่น้อยๆ สะเทือนเงินในกระเป๋ามากแน่ ๆ แล้วยิ่งถ้าเราไม่ได้ชำระเป็นเงินสด แต่เป็นลักษณะผ่อน หรือ เช่าซื้อก็จะต้องมีภาระผูกผันการชำระหนี้ไปอีกอย่างน้อย ๆ ก็ 5 – 7 ปีค่ะ ซึ่งก็คือความคล่องตัวทางการเงินของเราจะหมดไปกับค่าผ่อนรถด้วย
นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมเราต้องดูความจำเป็นก่อน ถึงจะรู้ว่าควรซื้อรถหรือเปล่า ถ้าคุณคิดว่าซื้อตอนนี้มีส่วนลด หรือตอนนี้โปรโมชั่นดีของแถมเยอะ ก็เลยอยากจะซื้อล่ะก็ คุณยิ่งควรใคร่ครวญให้ดี ถ้าคุณได้ถามตัวเองดีแล้ว และเห็นว่าคุณจำเป็นต้องมีรถยนต์เป็นของตัวเองเพื่อหารายได้เสริม คุณก็ต้องคิดต่อด้วยว่ารถที่จะใช้ประโยชน์ได้ตรงกับการใช้งานของคุณควรเป็นรุ่นไหน ยี่ห้ออะไร และมือหนึ่งหรือมือสอง
ก่อนที่เราจะซื้อรถสักคัน เราก็ต้องจองและวางเงินดาวน์ ซึ่งก็คือเงินลงทุนก้อนแรกสำหรับรถของคุณ แล้วถ้าคุณไม่มีเงินก้อนมาดาวน์รถ หรือ ต้องไปหยิบยืมใคร ๆ มาดาวน์ก่อนหล่ะก็ บอกได้ทันทีเลยว่า คุณยังไม่พร้อมจะซื้อรถเลย สภาพการเงินคุณยังไม่มั่นคงเพียงพอ และการออกรถในเวลานี้อาจจะยิ่งทำให้สภาพการเงินติดขัดหนักขึ้นได้ แต่ถ้าคุณมีเงินก้อนอยู่ เงินดาวน์ที่คุณควรจะวางเป็นทุนแรกก็น่าจะประมาณ 20 – 25% ของราคารถ สมมุติว่าคุณเล็งรถยนต์ขนาดเล็กราคาประมาณ 600,000 บาท เงินดาวน์ที่คุณควรเตรียมไว้ก็อยู่ราวๆ 120,000 บาท เพราะที่อัตราเงินดาวน์นี้ จะช่วยให้คุณยังสามารถคงสภาพคล่องทางการเงินได้ในขณะที่ผ่อนรถ ยอดผ่อนต่อเดือนก็ไม่สูงมาก และไม่ต้องวุ่นวายรบกวนใครมาเป็นผู้ค้ำประกันให้อีกด้วย
ถัดมาก็คือ เงินที่เหลือใช้สำหรับคุณหลังจากที่มีรถเป็นของตัวเอง ถ้าคำตอบแรกคือ ความจำเป็น คำตอบที่สองคือ มีเงินก้อน คุณได้ 2 ผ่านไปแล้ว แต่ต่อจากนั้นนอกจากภาระหนี้รถที่คุณมีเพิ่มแล้ว คุณก็จะไม่มีเงินพอใช้จ่ายต่อเดือนอีกเลย งั้นคุณก็พับโครงการไว้ก่อนเถอะ เพราะความพร้อมยังไม่เพียงพอ จะกลายเป็นชักหน้าไม่ถึงหลัง และอาจจะลงท้ายด้วยการโดนยึดรถได้ อย่างที่บอกรถหนึ่งคันผ่อนกันอย่างน้อย 5 ปี หากค่าผ่อนรายเดือนของคุณอยู่ที่ 9,600 บาท ก็ลองทำบัญชีรายรับรายจ่ายให้ตัวเองดูว่า ถ้าเพิ่มค่าใช้จ่ายเข้าไปอีก 9,600 บาททุก ๆ เดือนนาน 60 เดือน คุณไหวหรือเปล่าและที่แน่ ๆ อีกอย่างก็คือ ค่าใช้จ่ายที่ไหลออกไปในแต่ละเดือนหลังจากออกรถไม่ได้มีแค่ค่าผ่อนรถ คุณยังต้องคิดเผื่อเรื่องค่าน้ำมัน หรือ ค่าแก๊ส ไว้ด้วย ซึ่งก็อาจจะหักลบออกจากค่าเดินทางเดิมที่เคยจ่าย หรือ ถ้าเติมน้ำมันก็น่าจะจ่ายประมาณ 3,000 – 4,000 บาทต่อเดือนเลยทีเดียว
เมื่อใช้รถเราก็ต้องดูแลบำรุงรถยนต์ อย่างน้อยๆ ก็มีค่าตรวจเช็คสภาพรถตามระยะทาง หรือ ทุก ๆ 6 เดือนเป็นอย่างน้อย กรณีรถเพิ่งออกใหม่ช่วง 2 – 3 ปีแรกก็อาจจะไม่มีเรื่องกวนใจนัก แต่พอย่างเข้าปีที่ 3 คุณก็อาจจะจำเป็นต้องกันเงินไว้เปลี่ยนยาง 4 ล้อก็เป็นหลักหมื่น และแบตเตอรี่รถยนต์ หรือ อะไหล่อื่น ๆ ตามแต่การใช้งานและการดูแลสภาพรถ ต่อมาก็คือ ค่าพรบ.ซึ่งต้องจ่ายทุกปี หรือประกันรถยนต์ ที่ค่าเบี้ยประกันจะขึ้นอยู่กับกรมธรรม์ ประเภทรถยนต์ และอายุของรถเป็นสำคัญ มาถึงตรงนี้ ลองตัดสินใจให้ดีว่าลงทุนในรถสักคัน จำเป็นแค่ไหน และคุ้มค่าหรือไม่