เรื่องราวของ แบรนด์หรู เลอค่า ครองใจบรรดาเซเลปมาหลายยุค หลายสมัยภายใต้ชื่อแบรนด์ภาษาฝรั่งเศสว่า Louis Vuitton ซึ่งเป็นชื่อของผู้ที่ริเริ่มออกแบบสินค้า สุดยอดงานดีไซน์ที่ใครๆ ต่างพากันหลงใหล ผ่านช่วงเวลามายาวนานเกินกว่าศตวรรษ
ย้อนกลับไปเมื่อ 194 ปีที่แล้ว หรือ ราวๆ ปีคศ. 1821 Louis Vuitton มีชื่อเสียงมาก เรื่องการทำหีบสำหรับใส่ของ ในยุคสมัยนั้น ผู้คนมักจะใช้หีบเก็บของใช้ต่างๆ ต่อมาในปีคศ. 1852 ภรรยาของนโปเลียน ผู้ที่ปกครองประเทศฝรั่งเศสในขณะนั้น ได้เลือกให้ Vuitton มาเป็นผู้ดูแลกล่องเก็บของของเธอให้ดูดี มีราคาคู่ควรกับการจัดเก็บเสื้อผ้าหรูๆ ของเธอ และนั่นคือจุดเริ่มต้น ที่ทำให้ Vuitton กลายเป็นผู้ที่มีบทบาทอย่างมากต่อการดูแลลูกค้ารายอื่นๆ ซึ่งโดยมากก็คือ เชื้อพระวงศ์ หรือไม่ก็ บุคคลที่มีชื่อเสียงและร่ำรวยมากในยุคสมัยนั้นค่ะ
ความสามารถทางการออกแบบ และรสนิยมในงานดีไซน์ของ Vuitton นั้นส่วนหนึ่ง อาจจะได้รับการถ่ายทอดมาจาก Monsieur Marechal ผู้ที่มีความสามารถในการประดิษฐ์กล่องเก็บของมากคนหนึ่ง และเป็นคนที่ Vuitton เคยได้ฝึกงานด้วย ประจวบกับช่วงคริสตศตวรรษที่ 19 นั้น ผู้คนนิยมแสดงฐานะ และสื่อถึงความเป็นผู้ดี ด้วยการใช้กล่องเก็บของแบบนี้กันมาก ทำให้ Vuitton เป็นที่รู้จักของผู้คนเยอะขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ดี เศรษฐีชาวยุโรป
จนเมื่อปีค.ศ. 1854 Vuitton ได้ตัดสินใจ เปิดร้านของตัวเองขึ้นเป็นครั้งแรก โดยมีข้อความที่หน้าร้านว่า
“Securely packs the most fragile objects. Specializing in packing fashions.”
ซึ่งเป็นข้อความที่บ่งบอกถึงงานดีไซน์ของ Vuitton ได้อย่างชัดเจนตั้งแต่วันนั้นจนถึงปัจจุบันนี้ค่ะ อย่างที่เคยปรากฎในหนังดัง อิงจากเค้าโครงเหตุการณ์จริง เรื่อง “เรือไททานิค” ที่ล่มในปี 1912 นั้น จะเห็นว่าผู้โดยสารระดับ First Class ส่วนใหญ่จะใช้หีบของ Louis Vuitton ใส่สัมภาระขึ้นเรือเดินทางไปด้วย หลังจากที่เรือล่ม หีบของ Louis Vuitton ก็จมลงใต้ก้นทะเล แต่ที่น่าประหลาดใจก็คือ เมื่อมีผู้ไปพบซากเรือ และนำหีบใส่ของ Louis Vuitton กลับขึ้นมาเปิดดู ปรากฎว่าไม่มีน้ำรั่วซึมเข้าไปภายในหีบเลย ยิ่งช่วยสร้างกระแส แบรนด์หรู เลอค่า ได้มาตรฐานความปลอดภัยเพิ่มขึ้นไปอีกค่ะ
จากธุรกิจครอบครัวผลิตหีบใส่ของ และกระเป๋าเดินทาง ที่ไม่เพียงจะให้ความหรูหรากับผู้ใช้เท่านั้น แต่ยังเลือกใช้วัสดุคุณภาพดี น้ำหนักเบา ปรับเปลี่ยนการออกแบบ และรูปทรงให้สอดคล้อง ลงตัว ไปกับการเดินทางในแต่ละยุคสมัยด้วยค่ะ
เริ่มต้นจากการใช้ วัสดุเป็นไม้ สำหรับทำกระเป๋าขนาดใหญ่ ไว้ใส่เสื้อผ้าและสัมภาระระหว่างเดินทางด้วยรถไฟ ต่อมาก็ค่อยๆ พัฒนาเปลี่ยนมาเป็น วัสดุ canvas ที่มีน้ำหนักเบาขึ้น และลดความโค้งมนจากรูปทรงโดมแบบเดิมๆ มาเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าผิวเรียบ เพื่อให้ง่ายต่อการจัดวางเรียงระหว่างเดินทาง เพราะในยุคสมัยถัดมา ผู้คนส่วนใหญ่มักจะเปลี่ยนมาเดินทางด้วยเรือกันมากขึ้น จนกระทั่ง มาถึงช่วงที่เครื่องบินและรถยนต์เริ่มเข้ามามีบทบาทต่อการเดินทางของผู้คนส่วนมาก แบรนด์ Louis Vuitton ก็ปรับเปลี่ยนจากกระเป๋าขนาดใหญ่มาเป็นรูปทรงที่เล็กลงเพื่อให้เหมาะกับช่องเก็บกระเป๋าบนเครื่องบิน และท้ายรถยนต์ด้วยค่ะ นี่คือ ต้นแบบและตัวอย่างของแบรนด์ดี แบรนด์ดัง ที่ไม่ยืนกราน ยึดมั่นกับความเป็นตัวตนอย่างเดียว แต่เรียนรู้ที่จะปรับเปลี่ยนสินค้าตามความเปลี่ยนแปลงทางสังคมไปด้วยค่ะ เมื่อไม่หยุดพัฒนาก็จะไม่ถูกลืมค่ะ
จากการพัฒนา และการเติบโตของแบรนด์ จนเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางมากขึ้น ในเรื่องของงานคุณภาพ และการปรับเปลี่ยนให้เข้ายุคเข้าสมัยตลอดเวลา อีกทั้ง ความสำเร็จที่สร้างเอกลักษณ์ให้กับแบรนด์ Louis Vuitton ก็คือ เทคนิคลับของกุญแจ หรือ ระบบล็อค ที่ทำให้ LV ขึ้นชื่อเรื่องความปลอดภัย เพราะกระเป๋าแต่ละใบจะมีกุญแจคู่กันที่ทำขึ้นมาอย่างเฉพาะเจาะจงดอกเดียวเท่านั้น แต่ในทางกลับกัน ถ้าลูกค้าซื้อกระเป๋า Louis Vuitton หลายใบ และต้องการความคล่องตัว ด้วยกุญแจดอกเดียวสำหรับใช้กับกระเป๋าที่มี ทุกๆ ใบ Louis Vuitton ก็จะทำการปลดล็อคให้สามารถใช้ได้กับกระเป๋าทุกๆ ใบ โดยข้อมูล จะได้รับการบันทึกเก็บไว้ในระบบให้อย่างถาวร หรือในกรณีที่ลูกค้าบางราย อาจจะเผลอทำกุญแจหาย ทาง Louis Vuitton ก็จะออกกุญแจดอกใหม่มาให้ทันที หลังจากที่สามารถเช็คความเป็นเจ้าของจากฐานข้อมูลในระบบแล้วเท่านั้น ทำให้ผู้ใช้สินค้าของแบรนด์ Louis Vuitton รู้สึกถึง Emotion ที่หรูหรา เลอค่า และเป็นที่หนึ่งที่เดียว นับเป็นกลยุทธ์ที่ผูกใจลูกค้าได้อยู่หมัดอีกขั้นหนึ่งค่ะ
นอกจาก ลูกเล่นด้านอารมณ์ที่ช่วยสร้างความผูกพันของลูกค้าให้ภักดีต่อแบรนด์แล้ว Louis Vuitton ยังคงไว้ซึ่งมาตรฐานการผลิตอีกด้วย จะเห็นได้ว่า แม้ในปัจจุบันที่การผลิตสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ มักจะนำเครื่องจักรเข้ามาเป็นตัวช่วย เพราะสามารถผลิตได้ปริมาณมากขึ้น, ใช้ต้นทุนต่ำลง และ ประหยัดเวลามากกว่า แต่สำหรับแบรนด์ Louis Vuitton นั้น เขายังคงยึดมั่นในศิลปะและความประณีตของงานฝีมือ และให้ความสำคัญกับช่างฝีมือเป็นอย่างมากด้วย ทำให้มีการเปิดโรงเรียนฝึกช่างขึ้นที่เมืองอาส์นิเยร์ พาทริก เป็นการสร้างคนเพื่อรองรับงานของ Louis Vuitton ในอนาคตค่ะ
ปัจจุบันนี้ แม้แต่ทายาทรุ่นที่ 5 ของ Louis Vuitton ก็ยังต้องฝึกฝน เรียนรู้จนกว่าจะสามารถทำกระเป๋าของ Louis Vuitton ได้ทุกรุ่น หลังจากนั้น ทุกคนก็ต้องไปฝึกงานต่อที่สถาบันแห่งนี้ก่อนอีกอย่างน้อยๆ 2 ปี แล้วจึงค่อยกลับมารับผิดชอบบริหารงานผลิตกระเป๋า คู่ไปกับให้ความร่วมมือกับดีไซเนอร์และช่างฝีมือของ Louis Vuitton ค่ะ ทำให้ แบรนด์ Louis Vuitton ยังคงเป็นงานศิลปะ งานฝีมือ ที่สานต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่นได้ดีงามมากๆ แบรนด์หนึ่งเดียวจริงๆ ค่ะ
ที่มารูป : www.biography.com