ผมเชื่อว่านักลงทุนหลายท่านยังไม่สามารถแยกประเภทของ หุ้นโภคภัณฑ์ ออกจากหุ้นกลุ่มอื่นๆ ได้อย่างชัดเจนนัก ผมเองก็เช่นกันครับที่ไม่สามารถแยกตัวสินค้าและผลิตภัณฑ์ของกลุ่มนี้ได้อย่างชัดเจนหนักว่าสินค้าในกลุ่มนี้แตกต่างกันกับสินค้ากลุ่มเติบโตอย่างไรและหุ้นกลุ่มนี้อาจทำให้นักลงทุนหลายๆ ท่านรวมทั้งผมก็เคยเจ็บตัวกับหุ้นในกลุ่มนี้มาแล้วเพราะเราไม่ทราบว่านั้นคือหุ้นในกลุ่มโภคภัณฑ์
ว่าแต่หุ้นโภคภัณฑ์ (Commodities) คืออะไร ? หลายคนคงคิดว่าหุ้นโภคภัณฑ์ที่แน่ๆ เลยนั้นจะต้องเป็นน้ำมัน แต่นั้นคือคำตอบที่ถูกต้องครับแต่ไม่ถือว่าเป็นคำตอบที่ถูกต้องทั้งหมด เพราะหุ้นในกลุ่มน้ำมันเป็นเพียงโภคภัณฑ์ตัวหนึ่ง แต่ไม่ได้หมายถึงกลุ่มโภคภัณฑ์ทั้งหมดเพราะสินค้าโภคภัณฑ์นั้นสามารถแบ่งออกได้เป็น 5 ประเภทหลักๆ ได้ดังนี้ครับ
พลังงาน (Energy) เช่น น้ำมันดิบ น้ำมันเตา ก๊าซธรรมชาติ เป็นต้น
โลหะอุตสาหกรรม (Industrial Metals) เช่น อลูมิเนียม ทองแดง ตะกั่ว เป็นต้น
โลหะมีค่า (Precious Metals) เช่น ทองคำ และ เงิน
สินค้าเกษตร (Agricultural) เช่น ข้าวโพด ถั่วเหลือง กาแฟ น้ำตาล เป็นต้น
สินค้าปศุสัตว์ (Livestock) เช่น Feeder Cattle, Live Cattle, Lean Hogs เป็นต้น
หุ้นกลุ่มนี้มักจะมีผลประกอบการเป็นลักษณะของวัฏจักร ในช่วงที่มีความต้องการของตลาดสูงสินค้ากลุ่มโภคภัณฑ์เหล่านี้ก็เป็นที่ต้องการในตลาดมาก ส่งผลให้ราคาสินค้ามีการปรับตัวสูงขึ้นทำให้ผลประกอบการของบริษัทเหล่านี้ดีแบบก้าวกระโดด แต่เมื่อความต้องการของตลาดลดลง จะส่งผลให้ผลประกอบการของบริษัทเหล่านี้ย่ำแย่ตามไปด้วย ซึ่งในการลงทุนในบริษัทที่เรามีความสนใจและต้องการลงทุนนั้นสินค้าและผลิตภัณฑ์ได้จัดอยู่ในกลุ่มหุ้นโภคภัณฑ์ใช่หรือไม่
ซึ่งสินค้าในกลุ่มนี้ไม่ใช้สินค้าผูกขาดที่ผู้ผลิตสามารถควบคุมราคาเองได้แต่หากขึ้นอยู่กับ demand และ supply ของตลาดโลกที่มีความผันผวนนั้นเอง จึงทำให้ผู้ผลิตสามารถผลิตสินค้าเหล่านี้ขึ้นมาป้อนตลาดได้ แต่ผู้ผลิตเองกลับไม่สามารถที่ควบคุมราคาของสินค้าเหล่านี้ได้ ยกตัวอย่างเช่น ราคาของทองคำในประเทศที่มีการปรับขึ้นลงนั้นก็อ้างอิงกับราคาของทองคำตลาดโลก โดยที่สินค้าโภคภัณฑ์จะมีลักษณะของสินค้าที่ตัวสินค้าเองมีมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก ไม่ว่าใครจะเป็นผู้ผลิตก็ตาม เช่น เมื่อเราพูดถึงยางพารา เราก็จะเข้าใจลักษณะทางกายภาพของยางพาราที่ขายกันว่าเป็นลักษณะของ ยางแผ่นดิบ น้ำยางสด ยางแผ่นดิบ และราคาขายของยางแต่ละชนิดก็จะมีราคากลางที่ใช้ในการอ้างอิงเพื่อซื้อขาย หากให้เปรียบเทียบกันอย่างชัดเจนผมขอเปรียบเทียบกับหุ้นกลุ่มโรงแรมที่ค่าบริการไม่ได้มีการกำหนดค่ากลาง เพราะการแข่งขันขึ้นอยู่กับการบริการ ทำเลที่ตั้งและช่วงการฤดูท่องเที่ยว (high season) ซึ่งจะส่งผลต่อราคาค่าบริการรวมทั้งมีการเติบโตจากการขยายกิจการ การเข้าพักที่มากขึ้นจากการบริการที่ดี จึงจัดได้ว่าเป็นหุ้นกลุ่มที่สามารถเติบโตได้แต่ผลประกอบการย่อมไม่หวือหวาอย่างหุ้นโภคภัณฑ์ที่สร้างกำไรได้อย่างก้าวกระโดด