น่าจะมีบางคนเคยตั้งคำถามหรือสงสัยเรื่องการตัดสินใจลงทุนในหุ้นของตัวเอง ว่าทำไมพอใช้การ วิเคราะห์หุ้นแนวเทคนิค แบบต่างๆ แล้วไม่เห็นจะประสบความสำเร็จแบบคนอื่นๆ กันบ้าง ซึ่งเรามาคำตอบไปด้วยกันว่าการวิเคราะห์หุ้นแบบเทคนิคอลนั้น ถ้าจะใช้ให้เห็นผลเหมือนคนอื่นๆ นั้นจะต้องทำยังไง
อย่างแรกเลย คือ เราไม่ควรใช้การวิเคราะห์หุ้นแบบเทคนิคกับหุ้นที่มีการซื้อขายน้อย หรือมีคนคุมเกมการขึ้นลงของราคาได้ หรือถ้าคำศัพท์ในตลาดก็คือ หุ้นที่มีเจ้าคุมอยู่ หรือจะเป็นหุ้นตัวเล็กที่มีคนปั่นไปปั่นมาได้
ดังนั้นการดูแนวรับแนวต้านของเราจะไม่ได้ผลเลย เพราะฉะนั้นหุ้นที่จะเหมะกับการวิเคราะห์แบบเทคนิคอลก็คือ หุ้นขนาดใหญ่ มีมูลค่าการซื้อขายในตลาดที่มากพอสมควร มีการซื้อขายแบบสม่ำเสมอ ซึ่งจะทำให้การคาดคะเนแนวรับแนวต้านของหุ้นจากข้อมูลนั้นมีความถูกต้องมากกว่าหุ้นตัวเล็กที่มีการซื้อขายน้อยหรือมีการซื้อขายแค่ไม่กี่คน
ถัดมาก็เป็นการใช้ค่า RSI คือ ตัวเลขที่ใช้วัดความแกว่งตัวของราคาหุ้นจะมีตัวเลขอยู่ระหว่าง 0-100
ซึ่งตามตำราที่เห็นหลายๆ เล่มจะบอกว่าถ้าค่า RSI ขึ้นไปถึง 70% แสดงว่าเป็นเขต Overboughtหรือภาวะที่เกิดการซื้อมากเกินไปให้รีบเข้าไปขายหุ้นเพราะจะได้ราคาดี และถ้า RSI ลงมาต่ำกว่า 30% ให้เป็นเขต Oversold หรือภาวะที่ขายมากเกินก็บอกให้เรารีบเข้าไปซื้อเพราะจะได้หุ้นราคาถูก ซึ่งทฤษฎีนี้อาจจะใช้ไม่ได้กับหุ้นทุกตัวใน SET Index ของไทย เพราะตลาดหุ้นไทยมันแกว่งตัวมากกว่าตลาดหุ้นของต่างประเทศ ดังนั้นถ้าหากต้องการใช้ RSI ให้ได้ผล เราก็ต้องศึกษาข้อมูลในอดีตของหุ้นตัวนั้นๆ ว่า Overbought กับ Oversold มีลักษณะเป็นแบบไหน แล้วค่อยนำมาใช้ตัดสินใจซื้อหุ้นกัน
ต่อมาก็คือหากใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคในการตัดสินใจซื้อหุ้นแล้ว เราก็ต้องไม่ลืมที่จะใช้เครื่องมือทางเทคนิคอีกเหมือนกันในการตัดสินใจขายหุ้นทิ้ง
นั่นก็หมายถึง เราจะต้องกำหนดจุด Stop Loss จุดที่จะ Cut Loss หุ้นออกจากพอร์ตของเราด้วย หากดูสถานการณ์ของหุ้นตัวนั้นแล้วเห็นว่าราคาจะตกดิ่งลงไปเรื่อยๆ เราก็ควรที่จะมีจุด Stop Loss สำหรับตัดใจขายหุ้นออกจากพอร์ต เพื่อที่เราจะได้ไม่ต้องเจ็บตัวมากมายในการลงทุนในหุ้นนั่นเอง
อ่านเพิ่มเติม : ตัดใจ Cut Loss ก่อน หุ้นติดดอย ยาวววว !
อย่างที่หลายคนรู้ๆ กันว่าการวิเคราะห์หุ้นทางเทคนิคนั้น คือการรวบรวมข้อมูลเพื่อนำมาทำเป็นกราฟ ดังนั้นการที่เราจะดูข้อมูลเพียงไปไม่กี่เดือน แล้วนำมาตัดสินใจซื้อหรือขายหุ้นนั้น ถือได้ว่าเป็นความผิดอย่างหนึ่งเลยทีเดียว เพราะฉะนั้นการวิเคราะห์หุ้นแบบเทคนิคอลนั้นจะต้องใช้ข้อมูลที่มากสักหน่อย อีกทั้งนอกจากจะดูแค่แนวโน้มย่อยๆ ในแต่ละช่วงแล้ว เราก็จะต้องดูแนวโน้มของหุ้นในภาพรวมด้วย เพื่อที่เราจะได้เห็นภาพทั้งหมดของหุ้นตัวนั้น แล้วค่อยตัดสินใจซื้อหรือขายกัน ถึงแม้ว่าบางคนจะบอกว่าเราเป็นแบบพวกเล่นเร็ว คือ ซื้อปุ๊บขายป๊บ ซื้อหุ้นมาไม่ถึงวันหรือสองวันก็ขายทิ้งแล้ว ยังเสียก็ยังต้องดูข้อมูลการซื้อขายให้รอบด้านเสียก่อน ไม่งั้นเราก็อาจจะกลายเป็นหมูให้คนอื่นกินก็ได้
สุดท้ายก็คือ หากเราจะบอกว่าเราเป็นนักลงทุนสายเทคนิคแต่สิ่งหนึ่งที่เราจะต้องอ่านด้วยก็คือ บทสรุปต่างๆ ที่เกี่ยวกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของหุ้นแต่ละตัวที่เราตัดสินใจจะลงทุน เพราะการวิเคราะห์หุ้นด้วยปัจจัยพื้นฐานนั้น จะช่วยให้เราไม่ได้เข้าไปซื้อหุ้นที่มีพื้นฐานไม่เหมาะสมกับราคาหรือเราหลวมตัวเข้าไปเล่นพวกหุ้นปั่นทั้งหลาย ซึ่งทำให้ใครต่อใครเจ็บตัวกันมามากอยู่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นถ้าอยากจะประสบความสำเร็จในการลงทุนในหุ้นแล้วล่ะ ต้องอ่านข้อมูลทั้งบทวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของหุ้นควบคู่กับการใช้เครื่องมือทางเทคนิคอลทั้งหลายในการตัดสินใจลงทุนในหุ้น
สรุปแล้วถ้าต้องการประสบความสำเร็จในการลงทุน การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของหุ้นจะช่วยให้เราเลือกได้ว่าจะลงทุนในหุ้นตัวไหนดี ส่วนการวิเคราะห์หุ้นทางเทคนิคอลนั้นจะช่วยบอกเราได้ว่าจะเข้าซื้อหรือขายหุ้นตัวนั้นในช่วงไหนดี เชื่อได้ว่าถ้าทำแบบนี้แล้วประสบความสำเร็จในการลงทุนแน่นอน