การลงทุนในหุ้น เป็นการลงทุนที่มีผลตอบแทนสูง เมื่อเทียบกับการลงทุนชนิดอื่น ทั้งยังเป็นการลงทุนที่สามารถเอาชนะอัตราเงินเฟ้อได้ หากเราเลือกลงทุนในหุ้นถูกตัว และถูกจังหวะเวลา แต่คำถามที่ตามมาคือ แล้วจะรู้ได้อย่างไรล่ะ ว่าควรซื้อหุ้นตัวไหน? เมื่อไหร่?
การซื้อหุ้นก็คือการเลือกลงทุนในกิจการ ที่มีแนวโน้มเติบโตในอนาคต ส่วนจังหวะเวลาที่เข้าซื้อ อาจใช้แนวโน้มทางเทคนิคเข้าประกอบการตัดสินใจ นั่นหมายความว่า ถ้าหุ้นที่เราเลือกลงทุน มีผลประกอบการดี และมีแนวโน้มที่กิจการจะเติบโตในอนาคต จังหวะเวลาที่เข้าลงทุนจะเป็นเรื่องรองลงไป หมายความว่า ในระยะยาว หุ้นมีโอกาสสร้างผลกำไรให้คุณ จำไว้ว่าเราไม่จำเป็นต้องเข้าซื้อที่ราคาต่ำสุด เพราะไม่มีใครรู้ว่าราคาขณะนั้นเป็นราคาต่ำสุดหรือยัง แม้คุณจะซื้อมาแพง แต่ถ้าคุณสามารถขายในราคาแพงกว่าได้ นั่นคือกำไร เรามาดู 5 อันดับหุ้นน้ำดีที่ถ้าเข้าลงทุน มีสิทธิทำให้คุณรวยเละได้เช่นกัน
-
TKN – บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน)
หุ้นน้องใหม่ที่เพิ่งเข้าตลาดหลักทรัพย์เมื่อปลายปี 2558 ที่ผ่านมา ชื่อหุ้นอาจไม่คุ้นหู แต่ถ้าพูดถึงเถ้าแก่น้อย เชื่อว่าไม่มีใครไม่รู้จัก เพราะเป็นธุรกิจสาหร่ายพันล้านที่ขายในร้านสะดวกซื้อทุกสาขา มีส่วนแบ่งทางการตลาดสูงถึง 70% เมื่อนึกถึงสาหร่าย ใครๆก็คิดถึงเถ้าแก่น้อยเป็นอันดับแรก แล้วกิจการจะไม่โตได้อย่างไร เถ้าแก่น้อยเข้าตลาดหลักทรัพย์มาด้วยราคาเปิดตัว 4 บาท ภายหลังจากที่เข้าตลาดได้เพียงครึ่งปี ราคาปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากผลประกอบการในไตรมาสแรก และการปรับกระมาณการกำไรในอนาคต ทำให้ปัจจุบัน ราคาพุ่งทะยานไปถึงกว่า 16 บาท ราคาปรับตัวขึ้นไปจากราคา IPO ถึง 400% ในระยะเวลาเพียงครีงปี
สมมติว่าคุณลงทุนใน TKN ณ วันที่เข้าตลาด (ไม่จำเป็นต้องได้ราคา IPO) และราคาที่คุณเข้าซื้อหุ้นอยู่ที่ 5 บาท มีหุ้นอยู่ 100,000 หุ้น ปัจจุบัน คุณจะมีมูลค่าพอร์ตอยู่ราวๆ 1,600,000 บาท (เป็นตัวเลขกลมๆ) จากเงินลงทุนเพียง 500,000 บาท เป็นการเติบโตของเงินลงทุนถึง 220% ในระยะเวลาเพียงครึ่งปี
ผู้เขียนเองก็มีหุ้น TKN อยู่ในพอร์ตจำนวนหนึ่ง ที่ราคาทุนเกือบๆ 5 บาท ทุกวันนี้ยังนึกเสียดายอยู่นิดหน่อยที่ลงทุนไปเพียงเล็กน้อย ถือเป็นหุ้นอีกตัวที่ทำให้รู้ว่าถ้าเลือกหุ้นดี ก็มีสิทธิรวยได้เหมือนกัน
-
INTUCH – บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน)
หุ้นตัวนี้อาจจะคุ้นหูในหมู่นักลงทุน เนื่องจากเป็นหนึ่งในหุ้นน้ำดี ปันผลสูง ด้วย Dividend Yield กว่า 8% ต่อปี ทำให้นักลงทุนระยะยาวต่างก็มีติดพอร์ตกันทั้งนั้น เมื่อปลายปีที่ผ่านมา ราคาหุ้นปรับตัวลงเกือบครึ่งหนึ่ง เนื่องจากข่าวการประมูลคลื่นความถี่ที่มีราคาใบอนุญาตสูงถึงระดับ 7 หมื่นล้านบาท ทำให้มีการปรับประมาณการกำไรของกลุ่มสื่อสารลง บริษัท อินทัช โอลดิ้งส์ ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่จึงได้รับผลกระทบไปด้วย ผู้อ่านอาจจะสงสัยว่า แล้วผู้เขียนจะแนะนำหุ้นตัวนี้ทำไม คำตอบก็คือ หลังจากตลาดรับข่าวการประมูลแล้ว ราคาเริ่มวิ่งเข้าสู่มูลค่าที่แท้จริง นอกจากนี้ อินทัช โฮลดิ้งส์ ไม่ได้ลงทุนในธุรกิจสื่อสารเพียงอย่างเดียว แต่ยังลงทุนในธุรกิจดาวเทียม และเทคโนโลยีสารสนเทศ การลงทุนใน INTUCH หลังจบการประมูลคลื่น จึงสามารถสร้างกำไรให้นักลงทุนได้ นอกจากนี้ยังไม่นับรวมเงินปันผลที่แม้คาดการณ์ว่าจะปรับลดลงตามไปด้วย แต่ยังอยู่ในระดับ 6-7% ต่อปี
สมมติว่าคุณเข้าซื้อ intuch ที่ราคา 47 บาท จำนวน 10,000 หุ้น ปัจจุบันมูลค่าพอร์ตการลงทุนของคุณจะเติบโตจาก 470,000 บาท ไปที่ 565,000 บาท ถือเป็นการเติบโตเกือบ 20% ของเงินลงทุนในระยะเวลาเพียงครึ่งปี
-
BDMS – บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด(มหาชน)
ชื่อนี้อาจไม่คุ้นหูเช่นกัน แต่ถ้าเราเอ่ยถึง โรงพยาบาลกรุงเทพ โรงพยาบาลสมิติเวช โรงพยาบาลพญาไท และโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ รพ.ชื่อดังทั้งหลายเหล่านี้ เป็นรพ.ในเครือกรุงเทพดุสิตเวชการด้วยกันทั้งสิ้น ผลกำไรต่อปีเติบโตอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับโครงสร้างทางสังคมที่มีคนในวัยชรามากขึ้น ทำให้อัตราการเติบโตของธุรกิจในกลุ่มโรงพยาบาล เติบโตตามไปด้วย ราคาหุ้น BDMS ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา จาก 18 บาท ถึงระดับ 24 บาทในปัจจุบัน
สมมติว่าคุณเข้าซื้อหุ้น BDMS ที่ราคา 18 บาท เป็นจำนวน 10,000 หุ้น ปัจจุบันพอร์ตการลงทุนของคุณจะมีมูลค่า 240,000 บาท จากเงินลงทุนเพียง 180,000 บาท เป็นการเติบโตของเงินลงทุนกว่า 30% ในระยะเวลาเกือบหนึ่งปี
-
CPF – บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน)
หุ้นในเครือ เจริญโภคภัณฑ์ หรือ CP ที่เรารู้จักกันดี ธุรกิจหลักคือ ผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์ เพาะพันธุ์สัตว์ เลี้ยงสัตว์ และแปรรูปอาหารจากเนื้อสัตว์ โดยดำเนินธุรกิจอย่างครบวงจร ผลิตภัณฑ์อาหารของ CPF นั้นคงจะเคยผ่านตาทุกคนมาเป็นอย่างดี เพราะมีวางขายใน 7-11 ซึ่งเป็นธุรกิจในเครือเดียวกันทุกสาขา ช่วงต้นปีที่ผ่านมา บริษัทแม่คือ CP มีข่าวผู้บริหารใช้ข้อมูลภายในเพื่อซื้อหุ้น ทำให้ราคาหุ้น CP ปรับตัวลง CPF เองก็พลอยได้รับผลกระทบตามไปด้วย แต่ผู้เขียนเองมั่นใจในกิจการ และการเติบโตของบริษัท เห็นว่าราคาหุ้นเทียบกับกำไรต่อปี(P/E)ในขณะนั้นมีระดับต่ำ ประกอบกับดูกราฟเทคนิคประกอบ เห็นว่ามีแนวรับที่สำคัญตัดกันอยู่ 2 แนว จึงเข้าซื้อหุ้นในช่วงที่ราคาปรับตัวลงไปจำนวนหนึ่ง ปัจจุบันราคาปรับตัวขึ้น จาก 16.9 บาท (ซึ่งเป็นต้นทุนของผู้เขียน) มาอยู่ที่ 29.5 บาท
สมมติว่าคุณเข้าซื้อหุ้น CPF ในช่วงกลางเดือนมกราคมที่ผ่านมา ซึ่งราคาอยู่ราวๆ 17 บาท เป็นจำนวน 10,000 หุ้น ปัจจุบันพอร์ตการลงทุนของคุณจะเติบโตจาก 170,000 บาท เป็น 295,000 บาท ถือเป็นการเติบโตราว 73.5% ในระยะเวลาเพียงครึ่งปี
-
PTT – บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)
ผู้ที่ติดตามข่าวเศรษฐกิจอยู่เป็นประจำ คงจะเห็นว่าราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2013 เป็นต้นมา เนื่องจากสต็อกน้ำมันล้นตลาด ในขณะที่ความต้องการในตลาดโลกลดต่ำลงตามภาวะเศรษฐกิจ ราคาน้ำมันตกต่ำสุดในช่วงปลายปีที่ผ่านมา ทำให้หุ้น PTT ปรับตัวลงไปที่ราคาต่ำสุดในรอบ 6 ปีคือ 199 บาท เนื่องจากมีการปรับขาดทุนสต็อกน้ำมัน ในช่วงนั้นเอง ผู้เขียนได้เข้าลงทุนในหุ้น PTT เนื่องจาก ภาพทางเทคนิคนั้น ราคาได้ลงมาทดสอบแนวรับเดิมที่ทำไว้ก่อนหน้า เดิมทีผู้เขียนเองตั้งใจจะเข้าเก็งกำไรในระยะสั้นเท่านั้น แต่ปรากฏว่าในภายหลัง ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นประกอบกับราคาหุ้นได้มีการปรับขาดทุนไปแล้ว ทำให้ราคาหุ้น PTT ปรับตัวกลับขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 300 บาท
สมมติว่าคุณเข้าลงทุนในช่วงเวลาดังกล่าว และราคาต้นทุนอยู่ที่ 200 บาท เป็นจำนวน 10,000 หุ้น ปัจจุบันมูลค่าพอร์ตของคุณจะเติบโตขึ้นจาก 2,000,000 บาท เป็น 3,240,000 บาท คิดเป็นการเติบโตของเงินลงทุนราว 60% ในระยะเวลาเพียงครึ่งปี
การเล่นหุ้นให้รวยนั้นมีอยู่จริง เพียงแค่คุณรู้จักเลือกหุ้น และเข้าซื้อได้ถูกช่วงเวลา การเข้าถูกช่วงเวลานั้น ไม่ได้หมายความว่าคุณต้องเข้าซื้อในช่วงที่ราคาปรับตัวลงต่ำสุด และไปขายในช่วงที่ราคาสูงสุด เพราะไม่มีใครรู้ว่าราคาหุ้นลดลงต่ำสุดหรือยังและจะขึ้นไปสูงสุดเท่าใด จะสังเกตุเห็นว่าตัวอย่างที่ผู้เขียนยกมา ก็ไม่ได้เป็นการเข้าซื้อในช่วงที่ราคาต่ำสุด แต่เป็นการคาดการณ์ว่าราคาจะปรับตัวขึ้นไหมในอนาคต และเรามีโอกาสทำกำไรจากการลงทุนมากน้อยเพียงใด
การจะมีทั้ง 2 อย่างนี้ได้นั้น ต้องมาจากการหาข้อมูล และติดตามข่าวสาร วิเคราะห์ข้อมูลที่ได้มานั้นด้วยตัวเอง ที่สำคัญเมื่อหุ้นสร้างกำไรให้คุณได้ ก็มีสิทธิทำให้คุณเสียเงินลงทุนได้เหมือนกัน การตัดสินใจเข้าซื้อหุ้นในแต่ละครั้งจึงต้องมองทั้งสองมุม และตอบตัวเองให้ได้ว่า รับได้ไหมถ้าขาดทุน รับสภาพการขาดทุนได้เท่าไหร่ เมื่อมีคำตอบให้ตัวเองแล้วจึงค่อยลงทุน ขอให้ผู้อ่านทุกท่านประสบความสำเร็จในการลงทุน อย่าลืมว่าเลือกหุ้นดี เข้าเป็น มีสิทธิเห็นเงินล้าน
**เป็นราคาเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2559 และยังไม่รวมค่าธรรมเนียมการซื้อขาย