สำหรับนักเล่นหุ้นมือใหม่ที่ความรู้เกี่ยวกับเล่นหุ้นยังมีน้อยอยู่ องค์ประกอบหนึ่งที่จะช่วยเราพัฒนาการเล่นหุ้นให้เก่งขึ้น ก็คือ โบรกเกอร์หรือบริษัทนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ เพราะก่อนจะซื้อขายหุ้นได้นั้น เราต้องสมัครเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นผ่านนายหน้าหรือโบรกเกอร์ ที่มีอยู่หายแห่ง แนวทางในการเลือกโบรกเกอร์สำหรับนักเล่นหุ้นมือใหม่มีดังนี้
อ่านเพิ่มเติม : ก้าวแรกสำหรับ คนอยากเล่นหุ้น
1.ให้การบริการและคำแนะที่ดี
เนื่องจากนักเล่นหุ้นมือใหม่ ยังไม่มีความรู้เกี่ยวกับหุ้นแทบจะทุกเรื่อง จึงมักจะมีคำถามมากมาย บางครั้งเป็นคำถามง่ายๆ ที่เราไม่เข้าใจจริงๆ เจ้าหน้าที่ของโบรกเกอร์ต้องยินดีที่จะตอบคำถามและเต็มใจช่วยเหลือเราทุกเรื่อง การได้เจ้าหน้าที่ดูแลบัญชีเราที่บริการดี ก็ช่วยให้เราเริ่มต้นเดินบนเส้นทางสายนี้ได้ดีด้วย ถ้าเจ้าหน้าที่บริการไม่ดี หรือไม่เต็มใจให้บริการ เราสามารถขอเปลี่ยนเจ้าหน้าที่ได้ หรือสามารถเปิดบัญชีกับโบรกเกอร์ใหม่ได้ เพราะไม่มีข้อห้ามว่า เราต้องเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นกับโบรกเกอร์เพียงรายเดียว
2.มีโปรแกรมซื้อขายที่หลากหลายและทันสมัย
การซื้อขายหุ้นในปัจจุบันจะซื้อขายผ่านทางระบบออนไลน์เป็นหลัก จะด้วยโทรศัพท์มือถือ หรือจากเครื่องคอมพิวเตอร์ที่บ้านก็ได้ โบรกเกอร์ที่ดี ต้องมีระบบการซื้อขายออนไลน์ที่เสถียร ไม่ใช่กำลังซื้อขายอยู่แล้วโปรแกรมขัดข้อง ทำให้เราเสียโอกาสได้ และควรมีหลายๆรูปแบบโปรแกรมให้เลือก เพี่อตอบสนองการใช้งานของเราได้หลากหลาย
3.มีบทวิเคราะห์ที่มีคุณภาพ
การจะตัดสินใจซื้อขายหุ้น ปัจจัยที่สำคัญส่วนหนึ่งคือ การวิเคราะห์ข้อมูลของหุ้นตัวนั้น ในฐานะที่เราเป็นมือใหม่ เราย่อมไม่รู้จักหุ้นตัวนั้นดี เป็นหน้าที่ของโบรกที่ต้องจัดหา จัดทำบทวิเคราะห์มาให้ลูกค้าได้ใช้ประกอบการตัดสินใจ ถ้าบทวิเคราะห์ไม่มีคุณภาพ ก็อาจทำให้เราพลอยตัดสินใจซื้อขายผิดพลาดไปด้วย
4.มีการจัดอบรมสัมมนาเรื่องหุ้นอยู่เสมอ
ที่สำคัญต้องฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย ในการเริ่มเล่นหุ้นใหม่ๆ เรื่องการศึกษาหาความรู้เป็นสิ่งสำคัญ เราคงไม่สามารถที่จะเสียค่าสัมมนาราคาแพงๆได้ ลองเลือกโบรกเกอร์ที่จัดสัมมนาบ่อยๆ ไม่เสียค่าใช้จ่าย ก็จะช่วยเราประหยัดค่าใช้จ่ายในการหาความรู้ไปได้มาก
5.คิดค่าธรรมเนียมการซื้อขายถูก
ค่าธรรมเนียมการซื้อคือ เงินที่เราจะต้องจ่ายให้กับโบรกเกอร์เมื่อเกิดการซื้อขาย หรือที่เรียกกันติดปากว่า (ค่าคอม) นั่นเอง ในปัจจุบันนี้ โบรกเกอร์จะแบ่งได้ 2 แบบ คือ โบรกเกอร์ที่คิดค่าคอมขั้นต่ำ กับแบบที่ไม่คิดค่าคอมขั้นต่ำ แล้วทั้ง 2 แบบแตกต่างกันยังไง?
ตัวอย่าง
โบรกเกอร์ที่คิดค่าคอมขั้นต่ำ คือทางโบรกเกอร์จะกำหนดอัตราค่าคอมมิสชันขั้นต่ำที่ต้องจ่ายในการเทรดแต่ละวันไว้ เช่นโบรกเกอร์บางเจ้ากำหนดค่าคอมมิสชันขั้นต่ำไว้ที่ 50 บาท ซึ่งหากในวันนั้นผู้ใช้ ต้องการเทรดหุ้นด้วยจำนวนเงินที่ไม่สูงมากต่อวัน โดยเมื่อคิดค่าคอมมิสชันตามเปอร์เซนต์ของโบรกเกอร์นั้นๆแล้ว เสียค่าคอมไม่ถึง 50 บาท ก็จะโดนเก็บค่าคอมมิสชันไป 50 บาทโดยปริยาย เปรียบเสมือนการถูกบังคับให้ทำการเทรดครั้งละมากๆ ซึ่งอาจจะไม่เหมาะกับมือใหม่หรือผู้ที่ถือพอร์ทไม่ใหญ่มาก เพราะหากต้องการเทรดเก็งกำไรในจำนวนเงินที่ไม่สูงพอ อาจจะทำให้การเทรดหุ้นของเราในวันนั้น เปลี่ยนจากได้กำไรเป็นขาดทุนได้เลย
ส่วนโบรกเกอร์ที่ไม่คิดค่าคอมขั้นต่ำ ก็คือโบรกเกอร์ที่คิดค่าคอมฯตามจริงเป็นเปอร์เซ็นจากยอดเงินที่เราเทรดในแต่ละครั้ง ซึ่งหากเราเทรดในจำนวนน้อยๆ เช่นวันละ 5,000 บาท ก็อาจจะเสียค่าคอมฯ เพียงแค่ไม่เกินประมาณ 5-7 บาท ในวันนั้นๆ ขึ้นอยู่กับอัตราค่าคอมของโบรกเกอร์แต่ละเจ้า ซึ่งจะเหมาะกับนักลงทุนมือใหม่ ที่ต้องการซื้อขายหุ้นในปริมาณ(โวลุ่ม) ที่ไม่สูงมากในแต่ละวัน การเลือกโบรกเกอร์จึงเป็นเรื่องสำคัญเพราะหากเราเลือกโบรกเกอร์ที่ดีและคิดค่าคอมมิสชันไม่แพงก็จะช่วยลดต้นทุนไปได้เยอะเลยทีเดียว
ซึ่งโบรกเกอร์ที่ไม่คิดค่าคอมขั้นต่ำ เจ้าหนึ่งที่อยากแนะนำก็คือ โบรกเกอร์จากจากประเทศญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนในประเทศไทย ในชื่อ SBI Thai Online (SBITO) ที่ชูจุดแข็งการเป็นโบรกเกอร์ออนไลน์ 100% ทั้งการสมัครเปิดบัญชีและการส่งคำสั่งซื้อขายต่างๆ ทำให้สามารถลดต้นทุนการบริหารงานและให้บริการในอัตราค่าคอมมิสชันที่ต่ำกว่าเจ้าอื่นๆได้ โดยในยอดการซื้อขายทุก 10,000 บาท เราจะเสียค่าคอมให้โบรกเกอร์เจ้านี้เพียง 7.50 บาท เท่านั้น
สนใจเปิดบัญชีเทรดหุ้นออนไลน์กับ SBITO สมัครออนไลน์ได้ ที่นี่เลย!