ช่วงต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา ตลาดหุ้นของไทยตกลงรุนแรงต่อเนื่องกันหลายวัน นับดัชนีที่ร่วงหล่นลงมาก็ประมาณ 100 กว่าจุด นักเล่นหุ้นหน้าใหม่ติดดอยกันหลายคน ติดดอยหมายถึงการไปซื้อหุ้นที่ราคาสูงๆ พอซื้อเสร็จราคาหุ้นก็ร่วงหล่นอย่างรุนแรง ทำให้หุ้นที่เราซื้อติดอยู่ในโซนราคาสูงอยู่อย่างนั้น เพราะถ้าขายก็จะขาดทุนค่อนข้างมาก นักเล่นหุ้นหน้าใหม่ส่วนใหญ่ก็ได้แต่รอวันลงจากดอย หรือรอว่าเมื่อไหร่ราคาหุ้นจะกลับไปอยู่ที่ราคาสูงสุดเหมือนตอนที่ซื้อมา
เหตุการณ์ที่ตลาดหุ้นร่วงลงรุนแรง เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้บ่อยๆ เป็นวงรอบวงจรของตลาดหุ้นเขา มีขึ้นแรง มีลงแรง บางช่วงก็ซึมๆไม่ค่อยเคลื่อนตัวหวือหวา ภาษาหุ้นเรียกว่าไซด์เวย์ วันหนึ่งถ้าเราต้องเจอกับภาวะหุ้นตกอย่างรุนแรงจะต้องทำอย่างไร จริงๆแล้วไม่มีสูตรสำเร็จในการเล่นหุ้น และแต่ละคนก็จะมีสไตล์การเล่นหุ้นที่แตกต่างกันไป ไม่ว่าสภาพตลาดจะเป็นอย่างไร ก็จะมีคนทำกำไรและขาดทุนจากหุ้นได้เสมอ ขึ้นอยู่กับว่านักเล่นหุ้นคนนั้นเล่นแบบไหน
ในบทความนี้ขอแบ่งนักเล่นหุ้นออกเป็น 2 ประเภทใหญ่คือ
- นักเล่นหุ้นด้วยการวิเคราะห์ด้านปัจจัยพื้นฐาน
- นักเล่นหุ้นที่วิเคราะห์ทางเทคนิคหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าเป็นพวกที่ซื้อขายตามกราฟนั่นเอง
ไม่ว่าเราจะเป็นนักเล่นหุ้นประเภทไหน ระบบการตัดสินใจของเราจะอิงในสิ่งที่เราเชื่อนั่นเอง สมมุติว่าเราวิเคราะห์ด้วยปัจจัยพื้นฐาน ถ้าราคาหุ้นยังต่ำกว่าเป้าหมายที่เราคิดวิเคราะห์ไว้ และพื้นฐานของบริษัทไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง ยิ่งหุ้นลงแรง ก็ถือเป็นโอกาสดีที่เราจะได้ช้อนซื้อในราคาถูก เมื่อซื้อได้แล้วก็ถือรอวันเวลาที่หุ้นจะกลับขึ้นไปใหม่ ขึ้นไปสะท้อนมูลค่าที่แท้จริง เมื่อถึงเป้าหมายเราก็ขายออกมา แต่เราไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าเมื่อไหร่ บ่อยครั้งที่ยิ่งซื้อยิ่งลง จนนักเล่นหุ้นเริ่มสับสนในตัวเองที่จะเชื่อมั่นในระบบคิดแบบปัจจัยพื้นฐานดีหรือไม่ ก็อย่างที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า ไม่มีวิธีไหนดีที่สุดในการวิเคราะห์หรือทำนายตลาด เพียงแต่เราต้องเชื่อมั่นในระบบการตัดสินใจของเรา และยืนหยัดอยู่กับมันให้ต่อเนื่องยาวนาน เรียนรู้จุดแข็งและจุดอ่อนของระบบที่เราใช้ให้ดี
อ่านเพิ่มเติม : Mental Analysis ที่สุดของการเทรดหุ้นคือการควบคุมสภาวะจิตใจ
นักเล่นที่วิเคราะห์ทางเทคนิคหรือพวกสายกราฟ เมื่อตลาดลงแรงๆ แน่นอนว่าภาพของกราฟก็จะส่งสัญญาณให้ขาย แต่ส่วนใหญ่นักเล่นหุ้นเมื่อเพิ่งซื้อหุ้นไป ย่อมปักใจเชื่อว่า หุ้นของเขาจะต้องวิ่งไปต่อแน่ๆ การที่กราฟบอกให้ขายนั้นอาจเป็นสัญญาณหลอกก็ได้ ปัญหาของพวกสายกราฟคือไม่มีวินัยมากพอที่จะซื้อขายตามสัญญาณที่เกิดจากกราฟ และชอบตามหาเทคนิควิธีที่จะทำนายตลาดให้มีความแม่นยำ 100 % ซึงเป็นไปไม่ได้ ในโลกนี้ไม่มีนักเล่นหุ้นคนไหนทำนายตลาดหุ้นได้ถูกต้อง 100 % ในโลกนี้ไม่มีการวิเคราะห์กราฟแบบไหนที่จะให้สัญญาณการซื้อขายถูกต้อง 100 % แนวคิดหลักของสายการวิเคราะห์ด้วยกราฟคือหลักสถิติและความน่าจะเป็น การวิเคราะห์ทางเทคนิคนั้นมีหลายสูตรหลายวิธี เรียกว่ามีเป็นร้อยหรืออาจมากกว่านั้น นักเล่นหุ้นบางคนก็ชอบใช้หลายสูตร และท้ายที่สุดแต่ละสูตรก็ขัดแย้งกันเอง นำไปสู่ความสับสนในที่สุด
ไม่ว่าจะเป็นนักเล่นหุ้นสายวิเคราะห์กราฟเทคนิค หรือวิเคราะห์ด้วยปัจจัยพื้นฐาน เมื่อถึงคราวที่ตลาดหุ้นลงแรงๆ ตัวระบบที่เขาใช้ในการตัดสินใจต้องส่งสัญญาณให้มีการขายทำกำไร ขายเพื่อตัดขาดทุน หรือให้ซื้อเพิ่ม แต่ละระบบมีสัญญาณให้อยู่แล้ว นักเล่นหุ้นก็เพียงทำไปตามระบบที่เราเชื่อ แค่นั้นก็ถือว่าเราได้ทำตามแผนที่วางไว้แล้ว ส่วนจะขาดทุนหรือกำไร นั่นเป็นสิ่งที่ต้องวัดกันในระยะยาว
เพราะการเล่นหุ้นเปรียบเหมือนการวิ่งมาราธอน ไม่ใช่การวิ่ง 100 เมตร ไม่ว่าตลาดหุ้นจะขึ้นหรือลง เราคงไม่สามารถ ภาวนาหรือควบคุมให้ตลาดวิ่งไปในทิศทางที่เราอยากให้เป็นได้ เราทำได้ดีที่สุดคือ หาระบบการตัดสินใจซื้อขายที่ดี เหมาะกับตัวเองทั้งด้านเวลาและทุนทรัพย์ แล้วรอผลที่คาดหวังในระยะยาว ถ้าทำได้อย่างนี้แล้ว หุ้นจะลงแรงแค่ไหนก็ไม่ต้องกลัว เพราะเรามีระบบและแผนการซื้อขายเตรียมไว้อยู่แล้ว เพียงรอให้เขาเงื่อนไข ก็ต้องตัดสินใจซื้อขายตามระบบที่เราเลือก อย่าลังเลหรือเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ส่วนใหญ่คนขาดทุนจากการเล่นหุ้นไม่ใช่เพราะระบบการซื้อขายไม่ดี แต่เป็นที่ตัวคนใช้ระบบนั้นไม่มีวินัยในการทำตามระบบต่างหาก