อัลเบิร์ต เซนต์ กล่าวว่า การค้นพบคือการเห็นในสิ่งที่ทุกคนเห็น แต่คิดในสิ่งที่ไม่มีใครเคยคิดมาก่อน นับเป็นคำพูดที่มีความหมายดีมากๆ การเล่นหุ้นก็เหมือนกัน เพียงมีเงินสักก้อน ใครๆก็สามารถเล่นหุ้นได้ แต่การจะเล่นหุ้นให้ประสบความสำเร็จ ต้องมีในสิ่งที่คนอื่นไม่มี คิดในสิ่งที่คนอื่น คิดไม่ได้ หรือคิดไม่ทัน การลอกหุ้นหรือซื้อขายตามคนอื่น ก็เหมือนกับคนทั่วไป ที่ไม่ชอบศึกษาหาความรู้ด้วยตัวเอง คนส่วนใหญ่จึงมักล้มเหลวจากการเล่นหุ้น คุณสมบัติหนึ่งที่นักเล่นหุ้นจำเป็นต้องมีคือ การวิเคราะห์ข้อมูลของบริษัทหรือหุ้นตัวนั้น เพื่อที่จะตัดสินใจเข้าซื้อหรือขายออกไป
นักลงทุนชั้นเซียนชอบมองหาโอกาสใหม่ๆในตลาดหุ้นและเอาจริงเอาจังกับการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยตัวเอง ส่วนนักลงทุนขี้แพ้ มักมองหาโอกาสจาก 1 ใน 100 ที่จะรวยอย่างรวดเร็ว พวกเขาชอบเสี่ยงโชคและเล่นหุ้นตามคำบอกจากคนที่อ้างตนว่าเป็นกูรู หรือเป็นผู้เชี่ยวชาญ โดยไม่ยอมลงมือศึกษาด้วยตนเอง
วอร์เร็น บัฟเฟตต์ นักลงทุนที่เป็นตำนานระดับโลก ค้นพบวิธีลงทุนที่ประสบความสำเร็จด้วยตัวเอง บัฟเฟตต์ เรียนรู้เกี่ยวกับบริษัททุกบริษัทในสหรัฐ ที่จดทะเบียนในตลาดหุ้น บัฟเฟตต์จึงมีข้อมูลมากมายของบริษัท โดยๆเฉพาะบริษัทใหญ่ๆในสหรัฐอเมริกา และยังคงปรับข้อมูลเหล่านั้นให้ทันยุคสมัยอยู่เสมอๆ รายงานประจำปีของบริษัท ทุกบริษัทอยู่ภายในจิตใต้สำนึกของบัฟเฟตต์ แต่ถ้าข้อมูลส่วนไหนที่ไม่มีในรายงานประจำปี เขาจะออกไปขุดคุ้ย ลุย ค้นหา ที่ภาคสนามด้วยตนเอง
ดังตัวอย่างที่เล่าต่อๆกันมาว่า บัฟเฟตต์เคยใช้เวลาไปเกือบ 1 เดือนเพื่อนับจำนวนรถจักรที่วิ่งไปมาบนทางรถไฟ แต่เขาไม่ได้คิดจะซื้อหุ้นของรถไฟ สิ่งที่เขาสนใจคือ หุ้นของสตัคเบเกอร์คอร์ป บริษัทที่ผลิต STP ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงที่ใช้กับหัวรถจักรเหล่านี้ สตัคเบเกอร์ ไม่เคยบอกบัฟเฟตต์ว่า ผลิตภัณฑ์นี้ขายดีไหม บัฟเฟตต์ตามหาจนรู้ข้อมูลว่า ส่วนผสมพื้นฐานของ STP คือ ยูเนี่ยนคาร์ไบด์ และบัฟเฟตต์ยังรู้อีกว่า ขั้นตอนกระบวนการผลิตสารตัวนี้ซับซ้อนและยุ่งยากมาก จากการได้ลุยภาคสนามและขุดคุ้ยข้อมูลมาด้วยตัวเอง บัฟเฟตต์จึงตัดสินใจซื้อหุ้นของ สตัคเบเกอร์คอร์ป จนเมื่อปริมาณการขนส่งทางรถไฟเพิ่มสูงขึ้น หุ้นสตัคเบเกอร์คอร์ป ก็พุ่งขึ้นกว่า 100% การที่บัฟเฟตต์ได้ ออกไปลุยภาคสนามด้วยตนเองทำให้เขามีความมั่นใจในสิ่งที่ได้รับรู้ ทำให้กล้าตัดสินใจที่จะลงทุน เขารู้ในสิ่งที่คนนอกบริษัทไม่รู้ หรืออาจมีคนมากมายที่สงสัยแบบเดียวกับเขา แต่ก็ไม่ได้ออกไปลุย ภาคสนามเหมือนอย่างที่บัฟเฟตต์ทำ
ที่กล่าวมานี้เป็นเพียงตัวอย่างเดียวที่นักลงทุนระดับโลกเขาทำ แน่นอนว่ายังมีงานที่หนักหนามากกว่านี้ที่นักลงทุนชั้นเซียนเขาทำด้วยตัวเองเป็นประจำ แต่งานเหล่านั้นอาจไม่ได้เหมือนกันในทุกๆนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ เพียงแต่พวกเขาทำงานหนักตามแนวทางของตัวเอง พวกเขาลงทุนศึกษาอย่างลึกซึ้งตามความเชื่อของตนเอง สำหรับนักลงทุนหน้าใหม่ที่ยังไม่มีแนวทางเป็นของตัวเอง ก็ต้องลุยเรียนรู้แบบปูพรมไปก่อนในทุกระบบ จากนั้นจึงค่อยๆเลือกแนวทางที่ตนเองชอบ และเหมาะกับเวลาและฐานะการเงินของตัวเอง
หากยังจับหลักไม่ถูก ให้เริ่มต้นด้วยการวิเคราะห์ด้วยหลักใหญ่ 2 หลักคือ การวิเคราะห์ด้านปัจจัยพื้นฐาน กับการวิเคราะห์ด้านปัจจัยทางเทคนิค หากใครคิดจะเอาดีทั้งสองทางพร้อมกันคือ ทั้งพื้นฐานและเทคนิค มองผิวเผินเหมือนเป็นเรื่องที่ดี เพราะได้รู้ทั้งสองระบบ การรู้มากกว่าเป็นสิ่งที่ดีก็จริง แต่เมื่อศึกษาลึกๆในแต่ละด้าน จะพบว่า มีหลายส่วนที่การวิเคราะห์ทั้งสองแบบนี้ ขัดแย้งกันเอง จึงอยากแนะนำว่าให้ศึกษาอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นระบบตัดสินใจหลัก ส่วนอีกระบบใช้เป็นตัวช่วยในบางโอกาส หรือใช้เฉพาะในส่วนที่วิเคราะห์ออกมาแล้วเป็นไปในแนวทางเดียวกัน สิ่งสำคัญคือ ต้องลงทุนศึกษาเรียนรู้อย่างเอาจริงเอาจังแล้วประยุกต์สร้างเป็นระบบตัดสินใจที่เหมาะกับนิสัยและฐานะของตัวเอง ถ้าทำได้แบบนี้โอกาสที่จะประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืนในตลาดหุ้น อยู่ไม่ไกลแน่นอน