การเล่นหุ้นให้ได้กำไรอย่างสม่ำเสมอ ไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งถ้าใครบอกว่าจะเล่นหุ้นเป็นอาชีพ หรือลาออกจากงานมานั่งมานอนอยู่ที่บ้านเพื่อเล่นหุ้นอย่างเดียว ดูเป็นความคิดที่เข้าท่า แต่ว่าน้อยคนนักที่จะทำแบบนั้นได้สำเร็จ คนที่เล่นหุ้นมักไม่ค่อยเชื่อว่า ในท้ายที่สุดจะมีคนไม่ถึง 10 เปอร์เซ็นต์ที่อยู่รอดและร่ำรวยจากตลาดหุ้น เพราะอะไรคนส่วนใหญ่ถึงไม่ชนะหรือทำกำไรได้ตลอดในตลาดหุ้น ก็เนื่องจากว่า ธรรมชาติของตลาดหุ้นไม่มีเหตุผล ไม่เป็นไปตามตรรกะความคิด ความเชื่อของมนุษย์ ถ้ามนุษย์คิดแบบเดิม คิดตามหลักเหตุผลที่ตัวเองเคยประสบความสำเร็จในการงานหรือในธุรกิจ ก็จะต้องเจ็บและขาดทุนอยู่เสมอ ถ้าต้องการชนะตลาดหุ้น ต้องเปลี่ยนชุดความคิดเสียใหม่
วิธีคิดใหม่ก็คือ ต้องวิเคราะห์ไปที่กลุ่มคนผู้เล่น มากกว่าที่จะมาวิเคราะห์ข้อมูลข่าวสาร หรือผลประกอบการต่างๆ เพราะคนธรรมดาทั่วไป จะเป็นคนส่วนใหญ่ที่อยู่ฐานล่างของระบบ จะเป็นผู้ขาดทุนเสมอ เราก็ต้องตัดสินใจหรือคิดอะไรที่ไม่เหมือนคนส่วนใหญ่ คนส่วนใหญ่ใช้หลักเหตุและผล เราก็ต้องใช้เหตุผลแบบตรงข้ามกับคนส่วนใหญ่ ในการเล่นหุ้น มีผู้เล่นหลากหลาย แบ่งได้เป็นสามกลุ่มคือพวกกองทุน พวกนักลงทุนต่างประเทศ และนักลงทุนรายย่อยทั่วไปที่มีจำนวนมากที่สุด และมักจะเป็นฝ่ายแพ้เสมอ หน้าที่เราคือ ต้องดูว่าผู้เล่นแต่ละกลุ่มคิดวิเคราะห์ และตัดสินใจอย่างไร ที่สำคัญเราต้องไม่คิดแบบคนธรรมดา ต้องไม่คิดแบบคนส่วนใหญ่
ตัวอย่างเช่น ในระบบการคิดของคนส่วนใหญ่ จะตัดสินใจจากการรับรู้ รับฟังข้อมูลข่าวสาร แล้วเปรียบเทียบนั่นนี่ แล้วก็เข้าไปซื้อขาย ส่วนเรา แทนที่จะไปวิเคราะห์ข่าวสารข้อมูลเปรียบเทียบนี่นั่น ก็ไปวิเคราะห์หรือเฝ้าดูพฤติกรรมของคนส่วนใหญ่ เมื่อไหร่ที่คนส่วนใหญ่ตัดสินใจไปในทางเดียวกันหมด เราก็จะใช้จังหวะนั้นทำในสิ่งตรงกันข้ามกับคนส่วนใหญ่ เป้าหมายเราคือ ต้องไม่กลายเป็นคนส่วนใหญ่เสียเอง เราอาจเคยชินกับการตัดสินใจอะไรจากการใช้เหตุผลและข้อมูลข่าวสาร เมื่อต้องมาคิดต่าง ก็จะต้องฝึกฝืนใจบ้าง
จากที่กล่าวมาจะเห็นว่า เราต้องใช้จินตนาการค่อนข้างมากในการที่จะมองให้ออกว่าคนส่วนใหญ่ในตลาดหุ้นกำลังทำอะไร แม้จะมีสรุปยอดรายการซื้อขายของแต่ละกลุ่มว่า ใครซื้อใครขายบ้าง แต่ก็วิเคราะห์ยาก เพราะกลุ่มคนทั้งสามกลุ่มดังกล่าว จะซื้อขายสลับกันไปมา จับทิศทางลำบาก แต่สิ่งหนึ่งที่พอจะบ่งบอกได้คืออารมณ์ของคนส่วนใหญ่ในตลาด หรืออารมณ์ของสื่อ สำนักข่าวต่างๆ ถ้าลงข่าวแต่เรื่องร้ายๆ นั่นอาจหมายถึงว่าคนส่วนใหญ่กำลังกลัว ไม่กล้าซื้อหุ้น และนี่อาจเป็นจังหวะให้เราเข้าไปซื้อได้ แต่ต้องกลัวขนาดไหนล่ะ หรือต้องเกิดอารมณ์ร่วมรุนแรงขนาดไหน ตรงนี้ต้องใช้จินตนาการ ความรู้สึก และประสบการณ์ที่สั่งสมของเรา แน่นอนว่าคงไม่ใช่หนึ่งปีหรือสองปี แต่อาจต้องใช้เวลานับสิบปี จึงจะมีทักษะการดูอารมณ์ร่วมของคนส่วนใหญ่ได้อย่างแม่นยำ การเข้าทำในช่วงที่คนส่วนใหญ่มีอารมณ์บวกหรือลบชัดเจนมากๆ อาจเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก นั่นหมายความว่า ภายในระยะเวลาหนึ่งปี เราอาจมีโอกาสเข้าทำแค่ครั้งเดียว หรือบางปี อาจไม่มีเหตุการณ์อย่างที่ว่าเลยก็ได้
การเล่นหุ้นที่เน้นทำตรงกันข้ามกับคนส่วนใหญ่ อ่านแล้วน่าสนใจ เป็นความคิดที่ดี อยากที่จะนำมาใช้ในการซื้อขายหุ้นของตัวเราเองก็จริง แต่การจะอ่านเกมว่าคนส่วนใหญ่กำลังทำอะไร ให้ได้อย่างชัดเจนนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย และอาจเกิดความผิดพลาดขึ้นได้ ก็ต้องตระหนักไว้ในใจเสมอว่า การลงทุนมีความเสี่ยง และไม่มีเครื่องมือชนิดใด หรือหลักการตัดสินใจแบบใดที่จะถูกต้องแม่นยำทุกครั้ง ต้องเผื่อทางหนีทีไล่ไว้เสมอ เพราะในตลาดหุ้นมีคำกล่าวคำหนึ่งที่ต้องจดจำให้ขึ้นใจ ว่า ความไม่แน่นอนคือความแน่นอน