ใครไม่เคยเป็นหนี้บ้านมาก่อนจะไม่รู้เลยว่าความรู้สึกในช่วงที่ผ่อนบ้านอยู่นั้นมันเหนื่อยแค่ไหน ผู้เขียนเองก็เป็นหนึ่งในคนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นลูกหนี้เงินกู้บ้านมาก่อน จึงเข้าใจเรื่องนี้อย่างลึกซึ้งที่สุด
หนี้บ้านครั้งนี้เกิดขึ้นจากการแต่งงานมีครอบครัว จำเป็นต้องมีบ้านหลังใหม่เพื่อแยกครอบครัวออกมา (ที่จริงถ้าไม่ต้องแยก อยู่รวมกันกับพ่อแม่ก็ดี เพราะไม่ต้องเป็นหนี้ แต่ปัญหาอยู่ตรงที่จะอยู่บ้านพ่อแม่ใครระหว่างพ่อแม่เราหรือพ่อแม่สามี เมื่อตกลงกันไม่ได้เช่นนี้ก็ต้องแยกมามีบ้านของตัวเองเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดค่ะ) เรากับสามีก็เลยไปมองหาบ้านที่เป็นหมู่บ้านจัดสรรของโครงการเพราะตอนนั้นคิดว่าปลอดภัยกว่า มี รปภ.ดูแลรถที่เข้าออก
สุดท้ายไปถูกใจโครงการบ้านจัดสรรของศุภาลัยที่แถวถนนกาญจนาภิเษก เพราะอยู่ใกล้บ้านพ่อแม่เราด้วย จึงตัดสินใจซื้อในราคา 4 ล้านบาท (หลายคนอาจคิดว่าทำไมถูกจัง แต่นี่เป็นราคาบ้านเมื่อ 20 ปีที่แล้วนะคะ) จากนั้นก็ทำเรื่องกู้เงินธนาคารนึง โดยให้เป็นชื่อสามีกู้คนเดียวไป แต่ช่วยกันผ่อนจ่าย ตอนนั้นตัดสินใจว่าจะผ่อนเดือนละ 40,000 บาท ช่วยกันพอไหว เพราะเราเองทำงานมีเงินเดือน ส่วนสามีทำธุรกิจมีเงินหมุนเวียนพอสมควร ธนาคารอนุมัติเงินกู้ให้แบบไม่มีปัญหา
ความรู้สึกของการผ่อนบ้านก็เกิดขึ้นตั้งแต่ผ่อนงวดแรกนี้เอง เมื่อใบเสร็จรับเงินมาถึงบ้าน ในนั้นจะมีรายละเอียดบอกไว้ว่า เงินค่างวด 40,000 บาท แบ่งจ่ายดอกเบี้ยเท่าไหร่ จ่ายเงินต้นเท่าไหร่ เป็นการจ่ายของงวดไหน ปีไหน พอเห็นตัวเลขก็แทบจะเป็นลม ทั้งที่จริงก็รู้อยู่แล้วล่ะว่าเงินค่างวดที่จ่ายนั้นต้องถูกหักดอกเบี้ยออกไปเยอะกว่า แต่ก็ไม่คิดว่าจะมากขนาดนี้ เพราะถูกหักเป็นดอกเบี้ยไป 2 ใน 3 ส่วน อีก 1 ส่วนตัดเงินต้น พอเรากับสามีนั่งมองใบเสร็จรับเงินต่างก็ถอนหายใจว่าเงิน 40,000 กว่าจะหามาได้ ต้องเอามาเสียดอกเบี้ยแบงก์เดือนหนึ่งต้องเกือบสามหมื่นเชียวหรือ แล้วก็หันมาสัญญากันแบบมุ่งมั่นว่าเราจะต้องหาทุกวิถีทางเพื่อเอาเงินมาโปะบ้านคืนให้หมดหนี้เร็วที่สุด
ช่วงแรกการจะโปะมากกว่า 40,000 บาทต่อเดือนเป็นเรื่องยาก เพราะตอนนั้นเงินเดือนเราเองก็ยังไม่มาก ส่วนสามีก็ต้องใช้เงินหมุนเวียนในธุรกิจ ถ้าเอาไปโปะหนี้หมดก็จะลำบาก เลยต้องเผื่อเงินไว้ด้วย ก็เลยผ่อนแค่ค่างวด 40,000 บาทมาเรื่อย ๆ จนครบประมาณ 5 ปี หลังจากนั้นพอเรามีเงินเดือนมากขึ้น ธุรกิจสามีก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง จึงพอมีเงินเหลือสำหรับมาโปะบ้าน ก็โปะเป็นระยะ แสนหนึ่งบ้าง สองแสนบ้าง ห้าหมื่นบ้าง แล้วแต่ตอนไหนจะมีเงินเหลือเท่าไหร่ ไม่น่าเชื่อเลยค่ะ ว่าพอมีเงินมาโปะบ้านอยู่เรื่อย ๆ แบบนี้ ยอดหนี้มันลดลงเร็วมาก มากกว่าที่จะผ่อนไปเรื่อย ๆ เดือนละ 40,000 บาท
เรากับสามีก็เลยคุยกันว่าเราคงต้องหาทางโปะแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จะดีกว่า หนี้จะได้หมดเร็ว ๆ หลังจากนั้นไม่นานก็ต้องบอกว่าเป็นโชคดีของเราสองคนมากที่มีที่ดินผืนหนึ่งที่สามีซื้อไว้ ตอนนั้นซื้อเพราะคนขายมาขอร้อง เราก็รับซื้อไว้แบบไม่อยากให้เสียน้ำใจ เป็นการช่วยเหลือกัน เพราะราคาไม่แพงมาก แต่ตอนนี้เจ้าของบ้านที่อยู่ข้าง ๆ ที่ เค้าต้องการขยายบ้านจึงอยากได้พื้นที่เพิ่มเลยมาขอซื้อที่ดินกับเรา โดยให้ราคาดีพอสมควร ถ้าคิดเป็นกำไรก็เรียกว่าเท่าตัวได้เลย สามีกับเราปรึกษากันว่าที่ดินนี้เราก็ไม่ได้มีแผนว่าจะใช้ทำอะไรอยู่แล้ว จริงอยู่ที่ถ้าขายไปก็แอบเสียดายเล็ก ๆ แต่ถ้าขายแล้วเอาเงินมาโปะหนี้บ้านให้หมดได้ก็จะดีเลย เมื่อตัดสินใจได้อย่างนั้นก็ขาย พอได้เงินมาก็เอาไปโปะบ้านหมดเลย เพราะไม่มีโครงการต้องใช้เงินอย่างอื่นอยู่แล้ว ธุรกิจของสามีก็ไปได้ดี มีรายได้ มีเงินหมุนเวียน เงินที่ได้จากการขายที่ตอนนั้นสามารถปิดหนี้บ้านของเราได้หมดแล้วยังเหลืออีกเล็กน้อยเป็นเงินเก็บด้วย ทำให้เรารู้สึกโล่งมากว่าต่อไปไม่ต้องเสียดอกเบี้ยแพง ๆ ให้แบงก์อีกแล้ว และได้เป็นเจ้าของบ้านอย่างแท้จริง
นี่แหละค่ะ ประสบการณ์การเป็นหนี้บ้านของเราและสามีที่เมื่ออ่านก็อาจดูว่าไม่มีอะไรหวือหวาให้ต้องกังวล ก็จริงค่ะ ถือว่าโชคดีมาก ๆ ที่ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี ประสบการณ์การเป็นหนี้นั้นได้สอนอะไรเราไว้หลายอย่างด้วยกัน อย่างแรกคือการเป็นหนี้บ้านนั้นถ้าอยากให้หมดไว ๆ เมื่อมีเงินต้องโปะบ้านเท่านั้น ถ้าผ่อนแค่ค่างวดไปเรื่อย ๆ ก็อีกหลายสิบปีกว่าหนี้จะหมด ส่วนของดอกเบี้ยพอรวม ๆ แล้วเยอะมากเหมือนจะซื้อบ้านได้อีกหลังเลยล่ะค่ะ อีกข้อคิดก็คือเรื่องการลงทุนซื้อที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ที่ทำเลดี ๆ ไว้เป็นเรื่องดีค่ะ เพราะกำไรที่ได้จากมูลค่าที่เพิ่มขึ้นของที่ดินมักมากกว่าการลงทุนใด ๆ ที่ผ่านมาในชีวิตเลยก็ว่าได้ กำไรเป็นเท่า ๆ เลยถ้าเก็บไว้นานหน่อยหลาย ๆ ปี ดังนั้นถ้ามีโอกาสก็ควรหาซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่มีที่ดินมาเป็นเจ้าของ ถึงไม่ได้ขายในรุ่นเรา เก็บไว้ถึงรุ่นลูกรุ่นหลานได้ใช้ประโยชน์ หรือขายทำกำไรได้เหมือนกันค่ะ