เรื่องหุ้นแบบนี้เรามักจะเจอตามแผงหนังสือกันแน่นอน เช่น รวยด้วยหุ้น 10 เด้ง หรือทำกำไรจากหุ้น 5 เด้ง 10 เด้ง …. จริง จริงแล้ว มันก็คือ การที่เราเลือกซื้อหุ้นสักตัวด้วยราคา 1 บาทต่อหุ้น แล้วอยู่มาวันหนึ่งราคาของหุ้นนั้นกลับพุ่งสูงขึ้นถึง 10 บาท 20 บาท แล้วคิดดูสิถ้าวันที่ซื้อเราซื้อหุ้นมาทั้งหมด 50,000 หุ้น หุ้นละ 1 บาท ก็จะเป็นเงินลงทุนทั้งหมด 50,000 บาท แต่อยู่มาวันหนึ่งมีเหตุทำให้หุ้นตัวนั้นมีราคาขึ้นไปถึง 10 หรือ 20 บาท ต่อหุ้น แล้วถ้าเราขายได้เราจะได้เงินกลับมาถึง 500,000 บาท หรือ 1,000,000 บาทเลยทีเดียว แต่ในชีวิตจริงแล้วการที่เราจะได้หุ้นแบบนี้มามันไม่ได้ง่ายเหมือนเราไปซื้อเสื้อ รองเท้า หรือกระเป๋าสักใบ เพราะต้องผ่านการอ่าน การคิด การวิเคราะห์ และการเรียนรู้อย่างจริงจัง
ทุกวันนี้ก็จะมีตำราเกี่ยวหุ้นออกมามากเหมือนกัน แต่เรามาดูลักษณะ หุ้น 5 เด้ง 10 เด้ง แบบย่อ ย่อกันก่อนดีกว่าที่จะไปหาหนังสือเกี่ยวกับหุ้นมาศึกษากันอย่างจริงจัง ซึ่งทฤษฎีการวิเคราะห์หุ้นเพื่อให้ได้ผลตอบแทนมากถึง 5 เท่า 10 เท่านั้น ก็คงไม่พ้นที่ต้องเดินตามทฤษฎีของ ปีเตอร์ ลินซ์ ซึ่งเป็นผู้บริหารกองทุนชาวอเมริกันที่สามารถลงทุนและได้ผลตอบแทน 28 เท่าภายในเวลา 13 ปี และนักลงทุนในบ้านเราส่วนใหญ่ที่ประสบความสำเร็จก็เรียนรู้ทฤษฎีนี้เหมือนกัน แล้วยังงี้เราจะไม่ลองเรียนรู้การลงทุนของปีเตอร์ ลินซ์ดูบ้างเหรอ….
ก่อนอื่นเรามาดูว่าเค้าแบ่งหุ้นออกเป็นกี่กลุ่ม แล้วแต่ละกลุ่มมีลักษณะเฉพาะตัวกันยังไง เรามาเริ่มกันเลยดีกว่า ตามทฤษฎีหรือหลักการนี้เค้าแบ่งหุ้นออกเป็น 6 กลุ่ม คือ
- กลุ่มแรกเป็นหุ้นบริษัทขนาดใหญ่และเก่าแก่ มีรายได้และผลตอบแทนของหุ้นใกล้เคียงกับภาวะเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งหุ้นกลุ่มนี้ปัจจุบันราคามักสูงพอสมควร
- กลุ่มที่สองหุ้นแข่งแกร่งเป็นหุ้นที่กำไรไม่หวือหวาเท่าไร ถ้าเรารายได้หรือกำไรของบริษัทนี้มาทำเป็นกราฟมักจะเป็นกราฟที่ค่อย ค่อยไต่ขึ้นแบบภูเขาที่ไม่สูงชันมาก แต่เป็นขาขึ้นตลอด
- กลุ่มที่สามหุ้นโตเร็วมักจะเป็นหุ้นของบริษัทเล็ก เล็ก และมีอัตราการเติบโตถึงปีละประมาณ 25%.
- กลุ่มที่สี่หุ้นวัฎจักรเป็นหุ้นกลุ่มที่รายได้และกำไรขึ้น-ลงเป็นประจำทำให้สามารถคาดการณ์สถานะของบริษัทได้ง่าย
- กลุ่มที่ห้าหุ้นคืนชีพ เป็นหุ้นของบริษัทที่มีแนวโน้มหรือเกือบล้มละลายและสามารถกลับมามีกำไรได้ใหม่ และสุดท้ายคือ
- หุ้นที่มีทรัพย์สินมาก ง่าย ง่ายเลยก็ดูว่าในงบการเงินมีเงินสดมาก หนี้สินน้อย และมีอสังหาริมทรัพย์มาก เป็นต้น
แล้ววิธีการเลือกหุ้นที่น่าจะเป็นหุ้น 10 เด้ง นั้น เค้าเลือกกันยังไงล่ะ เราตามไปดูหลักการเลือกหุ้นของปีเตอร์ ลินซ์กันเลย…
- เป็นชื่อบริษัทที่ฟังดูแล้ว น่าเบื่อ รวมทั้งเป็นบริษัทที่ผลิตสินค้าที่น่าเบื่อหรือไม่น่าสนใจ เพราะทำให้คนทั่วไปไม่สนใจบริษัทนี้และมองผ่านไปโดยไม่สนใจศึกษาผลประกอบการของบริษัทเลย
- หุ้นของบริษัทที่ทำอะไรที่คนไม่ชอบยกตัวอย่าง เช่น บริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับสิ่งสกปรก โรงขยะ ซึ่งอันนี้บ้านเราอาจจะยังไม่ค่อยมีมากนัก
- เป็นหุ้นของบริษัทที่แตกตัวออกมาจากบริษัทแม่ที่เป็นบริษัทใหญ่และมีชื่อเสียง เพราะอย่างน้อยก็ทำให้มั่นใจเกี่ยวกับระบบการบริหารงานที่จะต้องได้รับสิ่งดี ดี มาจากบริษัทแม่ด้วย …….
- เป็นหุ้นทีกลุ่มสถาบันไม่ชองลงทุน หากเราเข้าไปศึกษาอย่างจริงจัง เราอาจจะได้ของดี ราคาถูก ก่อนที่พวกยักษ์ใหญ่อย่างสถาบัน หรือกองทุนลงมาซื้อก็เป็นได้
- เป็นหุ้นที่รู้สึกว่ามีปัญหาบางอย่างคุกคาม เช่น จะลงทุนสร้างหรือทำอะไรสักอย่าง แต่บริษัทได้รับการประท้วงจากชุมชน มีปัญหาเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งถ้าเราเข้าไปศึกษาดี ดี บางครั้งก็อาจทำให้เราได้ของดีราคาถูกด้วยก็เป็นได้
- เป็นบริษัทที่ประสบปัญหาขั้นร้ายแรง เช่น อยู่ระหว่างการฟ้องร้อง หรือถูกไฟไหม้ มีกระบวนการผลิตที่ทำให้มีคนเสียชีวิต เป็นต้นเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นมักจะผลต่อราคาทุนทันที ซึ่งอาจจะทำให้เราได้ของดีมาก็ได้
- เป็นหุ้นที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่กำลังจะแย่ เพราะนั่นหมายความว่าบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมเหล่านี้จะต้องปรับปรุงและพัฒนาตัวเอง เพื่อให้กลับมายืนอยู่ต่อได้….
- เป็นบริษัทที่มีจุดเด่น คือ บริษัทที่ผลิตสินค้าออกมาแล้วไม่เหมือนใคร แต่คนชอบกัน หรือผลิตสินค้าที่ออกมาแล้วโดนใจผู้ซื้อในขณะนั้นทันที ….
- เป็นหุ้นของบริษัทที่ผู้คนต้องซื้อสินค้าของเค้าไปเรื่อยๆ ส่วนใหญ่น่าจะเป็นสินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวัน อาหารการกิน เป็นต้น
- เป็นบริษัทที่ชอบใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ มาช่วยให้การทำงานมีความรวดเร็ว ถูกต้องมากขึ้น
- คนในบริษัทกำลังซื้อหุ้นของบริษัทตัวเองอยู่ นั่นหมายความว่า บริษัทน่าจะมีอะไรดี ดีซ่อนอยู่จึงทำให้คนในบริษัทตัวเองซื้อหุ้นของตัวเอง เพราะคนที่ทำงานของบริษัทนั้น มักจะมีข้อมูลที่เป็นวงในอยู่พอสมควร หรือสุดท้ายบริษัทกำลังซื้อหุ้นของตัวเองกลับคืน ซึ่งหมายถึงว่าบริษัทนั่นจะต้องมีอนาคตที่ดีแน่ แน่ และก็ส่งผลให้หุ้นของบริษัทนั่น นั่นดีตามไปด้วยเช่นกัน เพราะเป็นสิ่งที่มาจาภายในของบริษัทเอง
ทั้งนี้ และทั้งนั้น ข้างต้นเป็นเพียงทฤษฎีการลงทุนในหุ้นแบบกว้าง กว้างเท่านั้น และถึงแม้ว่าการลงทุนในหุ้นจะให้ผลตอบแทนที่สูงก็จริง แต่เราต้องศึกษา เรียนรู้ และวิเคราะห์ อย่างจริงจัง หาหนังสือมาอ่าน เข้าร่วมคอร์ส อบรมสัมมนา รวมทั้งระหว่างที่เรียนรู้และศึกษาการลงทุนในหุ้นอยู่นั้นก็อย่าลืมที่จะเริ่มเก็บเงินไว้สำหรับการลงทุนด้วยนะ … อย่าเอาเงินที่ใช้จ่ายในชีวิตประจำวันมาลงทุน เพราะเมื่อไรที่การลงทุนไม่เป็นไปอย่างที่คาดหวังแล้ว … เมื่อนั้นชีวิตทางการเงินเราอาจล่มสลายได้…