คนที่ลงทุนในหุ้นนั้น เชื่อได้ว่า ทุกคนหวังให้หุ้นที่เลือกสร้างรายได้ให้ทั้งนั้น แต่การที่จะประสบความสำเร็จในการลงทุนนั้น จะต้องมีความเข้าใจในตลาดหุ้นเป็นพื้นฐานเสียก่อน
ซึ่งเคล็ดลับของการลงทุนในหุ้น ก็ไม่มีอะไรมาก เพียงแค่คุณยึดหลักการ และเลือกจังหวะในการลงทุน (Market Timing) จะนำมาซึ่ง ความสำเร็จได้ โดยช่วงที่เหมาะที่สุด คือช่วง ตลาดกระทิง (Bull Market) เพราะการเล่นหุ้นในช่วงเวลานี้ ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้นจึงมีโอกาสในการทำกำไรได้มาก
ตรงกันข้ามกับช่วงหุ้นขาลง หรือช่วง ตลาดหมี (Bear Market) ซึ่งเป็นช่วงที่ทำกำไรจากหุ้นได้ยาก เนื่องจากตลาดซบเซา และราคาหุ้นปรับตัวลง แล้วอย่างนี้เราจะมีวิธีการอย่างไรในการดูว่า ในช่วงเวลานั้น เป็นตลาดอะไรกันแน่ ระหว่างตลาดกระทิง ( Bull Market ) กับตลาดหมี ( Bear Market ) วันนี้เราจึงมีวิธีการสังเกตภาวะของตลาด เพื่อที่จะได้ลงทุนได้ถูกช่วงเวลามาฝากกัน
ลักษณะของตลาดหมี
- รัฐบาลขาดเงินทุนงบประมาณ (Budget Deficit) หรือ อยู่ในช่วงที่รัฐบาลมีรายจ่ายมากกว่างบประมาณที่ได้รับ หากเกิดเหตุการณ์ดังนี้ ให้ระมัดระวังในการลงทุน เพราะสภาวะดังกล่าวถือเป็นดัชนีชี้นำตลาดหุ้น ดังนั้นหากลงทุนในภาวะนี้ นักลงทุนจึงควรเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษ
- การขาดดุลการค้า (Trade Deficit) หากมีการขาดดุลการค้าเกิดขึ้นเป็นระยะเวลาหลายๆเดือนติดกัน นักลงทุนควรหลีกเลี่ยงการลงทุนในระยะนั้น เพราะการขาดดุลการค้าจะส่งผลลบต่อราคาหุ้น ทำให้หุ้นมีราคาปรับตัวลงได้
- อัตราการเกิดดอกเบี้ยสูง (High Interest Debt) หากอัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มว่าจะสูงขึ้น ถือว่าเป็นปัจจัยลบที่ทำให้ค่าสุทธิแย่ลง ราคาหุ้นก็จะปรับตัวลงตามไปด้วย จึงควรหลีกเลี่ยงการลงทุนในช่วงนี้
- ค่าเงินบาทอ่อนลง (Weak Dollar) ปัจจัยนี้ส่งผลต่อการลงทุนโดยตรง เพราะเมื่อค่าเงินดอลล่าอ่อนตัวลง เม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติจะลดน้อยลงตามไปด้วย ซึ่งดัชนีตลาดก็มีแนวโน้มที่จะปรับตัวลงเช่นกัน เพราะเงินลงทุนจากต่างชาติมีปริมาณมากจึงมักจะเป็นตัวชี้นำดัชนีตลาดด้วย
- บริษัทในตลาดมีหนี้สินสูงขึ้น (High Corporate debt) หากบริษัทส่วนใหญ่ มีแนวโน้มของหนี้สินเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องแล้วละก็ ถือว่าเป็นสัญญาณอันตรายอย่างหนึ่ง
- ปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ลดลง (Low Trading Volume) แสดงถึงภาวะตลาดซบเซา นักลงทุนระมัดระวังในการลงทุน
ตลาดหุ้นที่กำลังจะกลายเป็น ตลาด กระทิง
1. บริษัทในตลาดหุ้น มีค่า P/E (Price/ Earnings Ratio) ที่ต่ำ P/E คือค่าวัดราคาหลักทรัพย์ต่อความสามารถในการทำกำไรของกิจการ จึงใช้เพื่อบอกว่าหลักทรัพย์นั้นมีราคาถูกหรือแพง เมื่อ P/E ต่ำ นักลงทุนจึงเข้าลงทุน เนื่องจากมีแนวโน้มอัตราเติบโตของผลกำไรสูงเมื่อเทียบกับเงินลงทุน
2. บริษัทในตลาดมีผลกำไรสูง โดยจะพิจารณาจากเงินสด และเงินหมุนเวียนเป็นหลัก
3. บริษัทในตลาดมีสภาพคล่อง โดยดูจากเงินหมุนเวียนของบริษัทนั้นๆ
4. อัตราดอกเบี้ยต่ำ อัตราดอกเบี้ยต่ำก็จะมีผลต่อการลงทุนด้วย เนื่องจากดอกเบี้ยต่ำ นักลงทุนจึงย้ายเงินมาลงทุนในหลาดหุ้นแทน
5. การซื้อขายกิจการพบเห็นได้บ่อย เนื่องจากมีสภาพคล่องสูง การซื้อขายกิจการจึงพบเห็นได้บ่อยขึ้น
6. มีการซื้อหุ้นกลับคืน โดยผู้ถือหุ้นรายใหญ่ซื้อหุ้นคืน หรือบริษัทซื้อคืนเอง ซึ่งหากมีการซื้อหุ้นในลักษณะนี้ ราคาหุ้นมีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากนักลงทุนมีความมั่นใจในกิจการ
7. นักลงทุนหุ้นเพิ่มความระมัดระวังในการลงทุน เพราะการลงทุนในช่วงนี้ แม้จะเป็นช่วงที่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นสูง แต่ก็มีโอกาสที่จะกลับตัวลงไปสู่จุดเดิมเพื่อสะท้อนราคาที่แท้จริง
การเล่นหุ้นนั้น ถือว่ามีความเสี่ยงต่อนักลงทุนอยู่แล้ว นักลงทุนที่มีประสบการณ์จะสามารถรู้ได้ว่า ตลาดอยู่ในภาวะไหน แต่สำหรับนักลงทุนมือใหม่ควรระลึกไว้เสมอว่า การเล่นหุ้นแม้จะให้ผลตอบแทนสูง แต่ก็มีความเสี่ยงที่จะขาดทุนและต้องสูญเสียเงินต้น ดังนั้นนักลงทุนจึงควรพิจารณาให้ดี และติดตามสถานการณ์ของตลาดอยู่เสมอ เพราะตลาดหุ้นมีความผันผวน และสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ตามปัจจัยที่มากระทบ