ใครๆก็บอกว่าการเล่นหุ้นนั้นเป็น Passive income ที่ให้เงินทำงานเพื่อสร้างเงินอย่างหนึ่ง โดยที่เราไม่ต้องลงแรงอะไรมากมาย ใช้ความคิดใช้สมองไตร่ตรอง วิเคราะห์ วางแผน แต่ต้องมีเงินทุนที่จะสามารถนำไปลงทุนได้ สำหรับใครที่อยู่ในวงการนี้ มีชั่วโมงบินเยอะกว่าคนอื่นอาจจะข้ามไปได้นะครับ บทความนี้จะเหมาะสำหรับผู้อ่านที่มีความคิดริเริ่มสนใจอยากจะลงทุนกับหุ้น และยังไม่มีประสบการณ์ เป็น มือใหม่เล่นหุ้น ขนานแท้ ก่อนอื่นก็ต้องมารู้จักกันก่อนครับว่า หุ้น คืออะไร ?
หุ้น คือ ทรัพย์สินที่มีมูลค่าอย่างหนึ่งที่สามารถเพิ่มมูลค่าในตัวมันเองได้ และเป็นหลักทรัพย์ที่เมื่อเราได้ทำการซื้อหุ้นหรือลงทุนผ่านใบเสนอซื้อไป เราก็จะได้สถานะที่เปรียบเสมือนเป็น “เจ้าของ” กิจการหรือบริษัทนั้นๆไปด้วย เป็นการลงทุนที่มีส่วนร่วมนั่นเอง เพราะทางบริษัทก็จะนำเงินที่เราลงทุนไปนั้นไปทำธุรกิจขยายกิจการแสวงหาผลกำไรต่อไป เมื่อมีรายได้เข้ามาบริษัทผู้ที่ถือหุ้นถืออยู่ก็จะแบ่งเงินปันผลเป็นรายไตรมาสหรือรายปีก็ตามแต่ข้อกำหนดของกิจการหรือบริษัทนั้นๆ
นอกจากผู้ถือหุ้นจะได้กำไรและเงินปันผลในสัดส่วนตามที่สมควรจะได้รับแล้ว หากบริษัทที่เราลงทุนอยู่เกิดปัญหาหรือเกิดภาวะวิกฤติเศรษฐกิจส่งผลกระทบให้บริษัทขาดทุน เราในฐานะผู้ที่มีส่วนร่วมและถือหุ้นส่วนหนึ่งอยู่ก็จะได้รับผลกระทบไปด้วยในกรณีของการขาดทุน เราก็จะไม่ได้รับกำไรแถมถ้าเวลาอยากจะขายต่อก็จะได้ขายในราคาที่ต่ำกว่าราคาที่เราซื้อมาอีกด้วย ดังนั้นแล้วสำหรับมือใหม่ที่กำลังจะก้าวสู่วงการนี้ควรคิดให้ละเอียดถี่ถ้วนก่อนการลงทุนในทุกๆครั้งครับ
แล้ว มือใหม่เล่นหุ้น จะเริ่มลงทุนในหุ้นอย่างไร ?
เชื่อว่า มือใหม่เล่นหุ้น ทุกคนย่อมถามคำถามนี้ จะลงทุนอย่างไรถึงจะได้กำไร? และไม่เสี่ยงขาดทุน กฎง่ายๆของความสำเร็จทุกอย่างย่อมผ่านการลงมือทำครับ อาศัยประสบการณ์ คนที่เก่งมักจะทดลองสิ่งใหม่ๆลองผิดลองถูกอยู่เสมอ ทำให้เขารู้ลึกรู้จริงรู้กว้างและล้มเหลวก่อนประสบความสำเร็จทุกครั้ง แต่คนที่ฉลาดมักนำเอาประสบการณ์ของคนอื่นมาเป็นบทเรียนให้กับตนเองครับ ดังนั้นแล้วการที่จะรู้ว่าจะลงทุนอย่างไร เพื่อไม่ให้เสี่ยงต่อการขาดทุนเราก็ต้องศึกษากันก่อนครับ แต่ขอบอกว่า การอ่านหนังสือหุ้นเพียงแค่เล่มสองเล่มอาจจะยังไม่เพียงพอที่จะลงสนามซะเท่าไหร่ ดังนั้นเราก็ต้องหมั่นติดตามข่าวสาร เรียนรู้ไปทีละจุด ทีละจุด สงสัยอะไรให้พยายามคิดหาคำตอบอยู่เสมอ คำแนะนำต่างๆล้วนเป็นเพียงข้อสังเกตหรือไกด์ไลน์เบื้องต้นเท่านั้นแต่พอเข้าไปจริงๆ ทุกอย่างมีพลวัตสามารถเปลี่ยนแปลงได้เสมอ บางครั้งเราวิเคราะห์มาดีแล้วว่าไม่น่าจะพลาด แต่พอเมื่อเศรษฐกิจตกต่ำกลับไม่เป็นอย่างที่คิดหวังไว้ ก็มีโอกาสเป็นไปได้เช่นกันครับ
วิเคราะห์เบื้องต้นก่อนการลงเล่นหุ้น
แน่นอนครับว่าก่อนที่เราจะทำงานอะไรกับใคร เรายังต้องเลือกบริษัทที่จะไปสมัครเลย เช่นเดียวกันกับการซื้อหุ้นลงเล่นหุ้นครับ เราก็ต้องดูด้วยว่าบริษัทที่เราจะลงหุ้นด้วยนั้นเขามีลักษณะอย่างไร เป็นบริษัทที่ทำการค้าหรือกิจการประเภทไหน เช่น เกี่ยวกับเชื้อเพลิง,อัญมณี,อาหาร,สิ่งทอ,เครื่องนุ่งห่ม,สินค้าส่งออก,อุตสาหกรรม,อุปกรณ์คอมพิวเตอร์,สินค้าเกษตร เป็นต้น จะช่วยในการวิเคราะห์ตลาดว่ามีแนวโน้มที่มีการผลิตเพื่อขายและความต้องการซื้อของตลาดนั้นมีมากน้อยเพียงใด ถ้ามีมากนั่นแสดงว่า เราก็มีโอกาสที่จะได้กำไร ดูอัตราการเติบโตของบริษัทและทีมผู้บริหารว่ามีความเชื่อมั่นและมีประสบการณ์ในการทำงานมากน้อยแค่ไหน เพราะการที่เราจะลงหุ้นให้กับบริษัทใดบริษัทหนึ่งนั่นก็ถือว่าเรากลายเป็นส่วนหนึ่งของบริษัทนั้นไปแล้ว เราก็ต้องคิดด้วยว่าบริษัทมีแนวทางที่จะสามารถสร้างรายได้และผลกำไรได้ในอนาคตหรือไม่ อย่างเช่น ธุรกิจอาหาร ถือว่าเป็นธุรกิจที่ไปได้ตลอดเพราะคนเรายังไงเรื่องปากท้องนั้นต้องมาก่อนและเป็นสิ่งสำคัญ เพราะไม่ใช่แค่ภายในประเทศเท่านั้น แต่ธุรกิจอาหารจะสามารถไปได้ไกลทั่วโลกถ้าทีมผู้บริหารมีศักยภาพในการบริหารที่ดีพอ
ศึกษาปัจจัยการพึ่งพาจากภายนอกของบริษัทนั้นๆ เช่น การนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศมีอัตราการนำเข้ามากน้อยเพียงใด เพราะถ้านำเข้าเป็นหลักนั่นแสดงว่าธุรกิจจะเป็นไปตามกระแสเศรษฐกิจของโลก ถ้าช่วงไหนอัตราการนำเข้าจากต่างประเทศสูงขึ้น ซื้อวัตถุดิบมาในราคาที่แพงย่อมทำให้ต้นทุนในการผลิตสูง ราคาสินค้าต่อหน่วยก็จะเพิ่มขึ้น อาจจะเสี่ยงต่อการที่สินค้านั้นขายไม่ได้หรือผลิตมามากกว่าความต้องการซื้อ เมื่อเป็นเช่นนี้ บริษัทก็จะจำเป็นต้องลดราคาต่อหน่วยให้ต่ำลงเกือบๆเท่าทุนหรืออาจจะขาดทุนเลยก็ได้ หรือในกรณีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลอาจจะส่งผลในเรื่องการดำเนินนโยบาย เมื่อรัฐบาลใหม่เข้ามา อะไรที่เป็นนโยบายของรัฐบาลเดิมนั้นอาจจะไม่ได้รับการสานต่อหรือปิดการดำเนินการ บริษัทที่มีสัมปทานกับรัฐบาลเดิมอาจจะต้องเปลี่ยนรูปแบบในการบริหารและจัดการใหม่ เสี่ยงต่อการขาดทุนเพราะฐานลูกค้าลดลง
นอกจากนี้ ก่อนที่เราจะร่วมลงทุนลงหุ้นกับบริษัทใดก็ต้องเช็คดูด้วยว่าบริษัทนั้นมีงบประมาณการเงินแบบไหน มีการวางแผนเงินสำรองยามฉุกเฉินบ้างหรือไม่ ยิ่งถ้าเป็นบริษัทเปิดใหม่ฐานลูกค้ายังไม่แน่นไม่มั่นคง ตลาดยังไม่กว้าง อีกทั้งเงินทุนที่ได้ไปนั้นต้องนำไปบริหารจัดการในส่วนของการพัฒนาบริษัทและลงทุนผลิตสินค้าก็ยังถือว่ามีความเสี่ยงมากอยู่เหมือนกัน แต่ก็ใช่ว่าให้ลงทุนกับบริษัทที่อยู่มานานแล้วเท่านั้นนะครับ ทุกอย่างไม่มีอะไรที่ 100 % หรอกครับ อะไรๆก็เกิดขึ้นได้เสมอ เปลี่ยนแปลงได้เสมอ ฉะนั้นแล้วสิ่งที่จะช่วยการันตีความเสี่ยงให้เราได้มากที่สุด ก็คือตัวเราเองครับ จะทำอะไรต้องมีสติอยู่เสมอ ความวู่วาม เร่งรีบ และใจร้อน นั่นทำให้เกิดการยั้งคิดและคิดวิเคราะห์ได้ไม่ละเอียด สติมาปัญญาเกิด ฝากกันไว้กับ มือใหม่เล่นหุ้น เพียงเท่านี้ก่อน สวัสดีครับ