การลงทุนเป็นการที่ได้เอาเงินก้อนที่ได้เก็บมาต่อยอดการเงิน เพื่อเป็นการเพิ่มมูลค่าของเงินที่มีอยู่ให้มากขึ้นนั่นเอง โดยการลงทุนนี้จะเป็นที่ทุกคนต่างอยากจะทำ หรือมีความคิดที่จะทำเพื่อให้เกิดความมั่นคงทางการเงินเพิ่มขึ้นนั่นเอง แต่ทั้งนี้การลงทุนบางประเภทก็สามารถที่จะเกิดความเสี่ยงต่อการขาดทุนได้เช่นกัน
ดังนั้น นักลงทุนทั้งหลายที่ อยากเล่นหุ้น มีความจำเป็นอย่างมากเลยทีเดียวที่จะต้องศึกษาและทราบรายละเอียดการลงทุน วันนี้เรามีเทคนิค หรือความรู้ที่เกี่ยวกับการลงทุนหุ้นมาฝากกัน เพื่อที่จะได้เป็นแนวทาง หรือเป็นความรู้ความเข้าใจเพิ่มขึ้นนั่นเอง
ก่อนที่จะเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ เป็นความรู้ทั่วไปสำหรับมือใหม่ในการลงทุน ควรศึกษาไว้เพื่อเป็นข้อมูลเกี่ยวกับการลงทุน เริ่มแรกต้องมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับรายละเอียดและข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับหุ้น
หุ้นหมายถึงเอกสารแสดงความเป็นเจ้าของกิจการโดยการร่วมทุน เช่นเมื่อเราต้องการทำธุรกิจกับเพื่อน เราก็เอาเงินมารวมกัน แล้วทำกิจการ และเพื่อป้องกันการคดโกงกันในภายหลัง ก็จะต้องมีการทำสัญญาต่อกันว่าได้ลงทุนร่วมกัน รูปแบบหนึ่งที่บอกว่าคนหรือกลุ่มคน ได้ร่วมทุนกันทำธุรกิจ ก็คือการแบ่งเงินทุนออกเป็น “หุ้น” แต่ละ “หนึ่งหุ้น” ก็จะมีส่วนเป็นเจ้าของเท่าๆ กัน คนที่มีหุ้นหรือเรียกว่า “ถือหุ้น” มากกว่า ก็จะมีส่วนเป็นเจ้าของมากกว่าคนที่ถือหุ้นน้อยกว่านั่นเอง
ผู้ที่ถือหุ้น จะได้รับผลประโยชน์จากการถือหุ้นโดยจากการปันผล เมื่อมีการเพิ่มทุน ก็จะได้รับสิทธิในการซื้อหุ้นเพิ่มทุนก่อนผู้อื่นในราคาที่อาจจะถูกกว่าคนอื่นที่ไม่ได้เพิ่มหุ้น หุ้นนั้นสามารถจำหน่ายจ่ายโอนกันได้ ทุกครั้งเมื่อมีการจำหน่าย ราคาก็สามารถที่จะเปลี่ยนไปได้ตามความนิยม ตามความสามารถในการทำเงินของกิจการนั้นๆ หากกิจการทำเงินได้ดี ได้มาก และมั่นคง เจ้าของหุ้นก็สามารถขายหุ้นในราคาที่สูงขึ้นได้ และถ้าหากกิจการประสบภาวะขาดทุน และไม่สามรถแข่งขันได้ ราคาหุ้นก็อาจจะตกต่ำลงมามากเนื่องจากไม่มีใครต้องการ
นอกจากนี้หุ้น ยังสามารถแบ่งออกได้อีกหลายประเภทคือ หุ้นสามัญ, หุ้นบุริมสิทธิ, และหุ้นกู้ ซึ่งบอกถึงความมีส่วนเกี่ยวพันกับบริษัท แต่ว่าในลักษณะที่ต่างกันดังนี้
- หุ้นสามัญ คือเอกสารที่บอกถึงความมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของในบริษัท มีสิทธิในการออกเสียงเพื่อการบริหารงาน และมีสิทธิประโยชน์อื่นๆ เช่นเงินปันผล ซื้อหุ้นเพิ่มทุนได้ จัดสรรใบสำคัญแสดงสิทธิในการซื้อหุ้นสามัญ ดังนั้น การที่เราเป็นเจ้าของหุ้น ก็เหมือนกับว่าเรามีส่วนในการเป็นเจ้าของบริษัท โดยได้ผลตอบแทนที่เป็นรูปธรรมในการลงทุนในหุ้นนั้นรวมไปถึงสิทธิประโยชน์ต่างๆ ในการซื้อหลักทรัพย์เกี่ยวพันกับบริษัทในราคาต่ำกว่าบุคคลภายนอก ไม่ใช่เพียงแต่การซื้อมาแล้วขายไปเพื่อกำไรที่เกิดขึ้นจากราคาที่เปลี่ยนแปลงสูงขึ้นเพียงอย่างเดียว
- หุ้นบุริมสิทธิ คล้ายกับหุ้นสามัญ เพียงแต่ว่าไม่มีสิทธิออกเสียงในการบริหาร แต่มีสิทธิประโยชน์ด้านเงินปันผลมากกว่าหุ้นสามัญ กล่าวคือเมื่อบริษัทจะจ่ายปันผล จะต้องจ่ายให้กับผู้ถือหุ้นบุริมสิทธินี้ก่อน หลังจากนั้นจึงจ่ายให้กับผู้ถือหุ้นสามัญ หุ้นบุริมสิทธิ์มักไม่เป็นที่ดึงดูดในการลงทุนนัก เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายในการจัดทำสูง และมีสิทธิประโยชน์ (กับบริษัทผู้ออก) ต่ำกว่าหุ้นสามัญ ในขณะที่หากบริษัทถึงกาลมีปัญหาจริงๆ ก็มักไม่เหลือเงินคืนให้แก่ผู้ถือหุ้นชนิดนี้อยู่ดี นักลงทุนส่วนมากจึงมักหลีกเลี่ยงหุ้นบุริมสิทธิกันมาก
- หุ้นกู้ หุ้นประเภทนี้จะเป็นเอกสารแสดงความเป็นเจ้าหนี้ต่อบริษัทผู้ออกหุ้นกู้นั้น ซึ่งก็คือการที่บริษัทผู้ออกหุ้นกู้ ได้กู้เงินผู้ซื้อหรือผู้ถือหุ้นกู้นั้นเพื่อนำไปใช้ในการดำเนินกิจการ โดยสัญญาว่าจะจ่ายค่าตอบแทน ผู้ถือเป็นจำนวนเท่าใด เป็นเวลานานเท่าใด และครบกำหนดไถ่ถอนเมื่อใด ซึ่งเมื่อครบกำหนดแล้ว บริษัทก็จะนำเงินสดมาซื้อหุ้นกู้นั้นคืนจากผู้ถือตามราคาหน้าตั๋ว ซึ่งเข้าใจง่ายๆก็คือการใช้หนี้
สำหรับนักลงทุนหน้าใหม่ควรจะทราบคือการซื้อขายหุ้นนั้น ก็เหมือนกับสินค้าทั่วไป คือมันมีราคา เพราะมีคนต้องการ เราขายสินค้าหรือหุ้นได้ทั้งหมดโดยไม่เหลือ ก็เพราะมีคนต้องการสินค้านั้น แต่ถ้าหากวันหนึ่ง ซื้อขายกันไม่มากเท่าไร ซื้อยากขายยาก เรียกง่ายๆว่าเป็นหุ้นประเภทสภาพคล่องต่ำ หากเรามีหุ้นที่สภาพคล่องต่ำ คือไม่ค่อยมีการซื้อขาย การที่เราจะเปลี่ยนเป็นเงินนั้นเป็นไปได้ยากมาก แต่ถ้าบังเอิญเจอบริษัทที่เราถือหุ้นอยู่ เป็นบริษัทที่ดี จ่ายเงินปันผลสูง การเติบโตดี เรียกว่าดีทุกอย่าง แต่ไม่มีใคร Bid เพื่อซื้อหุ้นนั้น เราก็ขายไม่ได้
ดังนั้นแล้ว เมื่อเราซื้อหุ้น (โดยเฉพาะหุ้นที่มีสภาพคล่องต่ำ) เราจะต้องคิดและมั่นใจได้ว่ามันให้ผลตอบแทนได้ดี เมื่ออยู่กับเราไปเรื่อยๆ เราไม่เดือดร้อนแม้ว่าขายไม่ได้ หุ้นประเภทนี้เราต้องมองเป็นหุ้นลงทุน ไม่ใช่เก็งกำไร เพราะราคาจะกระโดดไปมาได้มาก การ Bid (ต่อราคาเพื่อซื้อ) /Offer (ตั้งราคาเพื่อขาย) อาจจะไม่ต่อเนื่องกันได้ ตรงกันข้ามกับหุ้นประเภทที่มีสภาพคล่องสูงๆ หุ้นเหล่านี้ซื้อง่ายขายคล่อง สามารถเก็งกำไรได้ง่าย
ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นก็ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของแต่ละคนนะคะ