เดี๋ยวนี้ใครๆก็อยากลาออกมาเล่น ใครก็อยากเป็นนักลงทุน ใครๆก็อยากใช้เงินทำงาน คนรุ่นใหม่จึงให้ความสนใจกับตลาดหุ้นมากขึ้น หลายคนกระโจนเข้าตลาดหุ้นไปแล้ว บางคนยังจดๆจ้อง และส่วนหนึ่งตัดสินใจแล้วและกำลังจะไปเปิดบัญชีซื้อขายหุ้น ตอนเปิดบัญชีจะมีส่วนที่ให้เลือกว่า จะเปิดบัญชีประเภทไหน คือ บัญชีเงินสด บัญชีเงินกู้ และบัญชีฝากเงินล่วงหน้าหรือแคชบาลานซ์นั่นเอง
อ่านเพิ่มเติม : การเล่นหุ้นด้วยบัญชีเงินกู้
บัญชีแต่ละประเภทแตกต่างกัน มีความเหมาะสมกับนักลงทุนแตกต่างกันไป หากเราเลือกประเภทบัญชีที่ไม่เหมาะกับตัวเราหรือเลือกในส่วนที่เสี่ยงเกินไปแล้ว ก็อาจทำให้เกิดความเดือดร้อนได้ในอนาคต จริงๆ ไม่มีข้อกำหนดว่า คนนั้นคนนี้จะต้องเลือกบัญชีประเภทนั้นประเภทนี้ เราสามารถเลือกลงทุนในบัญชีประเภทไหนก็ได้ หากประวัติทางการเงินของเราไม่ได้ขี้เหร่จนเกินไป โบรกเกอร์เขาก็เปิดให้ตามที่เราเลือกหรือขอเปิดไป จะเลือกเปิด 1 บัญชี 2 บัญชี หรือเปิดทั้ง 3 แบบเลยก็ได้ ไม่มีกฎข้อใดห้ามไว้ ข้อดีของการขอเปิดพร้อมกันทั้ง 3 ประเภทเลยก็คือ ในอนาคตถ้าอยากเปิดบัญชีอันไหนเพิ่ม จะได้ไม่ต้องมาขอเปิดและส่งเอกสารใหม่ภายหลัง ถ้าตั้งใจแล้วก็เลือกเปิดไปทั้ง 3 แบบเลยก็ได้ ซึ่งเมื่อได้เลขที่บัญชีมาแล้ว เราก็เลือกเล่นในบัญชีที่เหมาะสมกับเราไปก่อน บัญชีที่ดูแล้วอาจมีความเสี่ยง เราก็ยังไม่ต้องไปเล่น
สำหรับนักเล่นหุ้นมือใหม่ บัญชีแคชบาลานซ์จะเหมาะสม และปลอดภัยกับตัวเองมากกว่าบัญชีอีก 2 อย่างนั้น ที่เขียนแบบนี้ไม่ใช่ว่าทั้ง 2 บัญชีคือ เงินสด กับ เงินกูนั้นจะไม่ดี เพียงแต่หากมองในมุมของนักเล่นหุ้นมือใหม่ ที่ยังไม่ชำนาญและยังไม่คุ้นชินกับตลาดหุ้นมากนัก การซื้อขายหุ้นด้วยบัญชีแคช บาลานซ์หรือแบบฝากเงินล่วงหน้า ดูจะปลอดภัย ช่วยให้นักเล่นหุ้นหน้าใหม่ห่างไกลจากคำว่า ซื้อขายเกินตัวมากกว่า บัญชีที่เหลืออีก 2 บัญชี บัญชีแบบฝากเงินล่วงหน้านี้ มีข้อกำหนดให้ลูกค้าต้องวางเงินหรือฝากเงินเขาไปในโบรกเกอร์ก่อน ฝากเท่าไหร่ก็ซื้อขายหุ้นได้เท่านั้น ดังนั้นจึงมั่นใจได้ว่า เงินที่เราจะเอาไปซื้อหุ้นนั้น คือเงินที่เรามีอยู่จริง และจะชำระค่าซื้อได้ตามจริงแน่นอน เมื่อซื้อแล้วไม่ว่าหุ้นจะลงไปมากมาย พอร์ตจะขาดทุนมากเท่าไหร่ โบรกเกอร์ก็ไม่มีสิทธิบังคับขายหุ้นของเราได้
บัญชีแคชบาลานซ์ ก็เหมือนกับอีก 2 บัญชี คือจะมีคำว่า วงเงิน กับอำนาจในการซื้อจริง วงเงิน คือสิ่งที่โบรกพิจารณาและให้ความน่าเชื่อถือแก่เรา โดยอิงจากประวัติทางการเงินว่า เราควรจะมีวงเงินในการเล่นหุ้นเท่าไหร่ เป็นเพียงกำหนดขอบเขตเท่านั้น ซึ่งสามารถเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้จากการดูหลักประกันเพิ่มเติมหรือจากการร้องขอของเราก็ได้ จะว่าไม่สำคัญก็ไม่ใช่ จะสำคัญมากก็ไม่ถึงขนาดนั้น ในบัญชีแคชบาลานซ์ อำนาจซื้อจริงๆหรือสิ่งสำคัญคือ จำนวนเงินที่เราฝากเข้าไปล่วงหน้า เช่น ฝากเข้าไป 100000 บาท เราก็สามารถซื้อหุ้นได้ 100000 บาท ซื้อน้อยกว่า 100000 บาทได้ แต่ซื้อเกินไม่ได้ ถ้าไม่ซื้อเลยได้ไหม ตอบว่าได้แถมยังได้ดอกเบี้ยจากการฝากเงินนั้นด้วย แต่ไม่ได้มากมายอะไร รายละเอียดส่วนนี้ต้องถามเจ้าหน้าที่ดู
ในกรณีที่เรามีวงเงิน 100000 บาท แล้วซื้อหุ้นไปครบ 100000 บาท จะซื้อหุ้นเพิ่มได้หรือไม่ สามารถซื้อได้ โดยการฝากเงินเข้าไป และแจ้งเจ้าหน้าที่ว่าขอขยายวงเงิน ปกติเมื่อโบรกเกอร์เห็นมูลค่าหุ้นของเราในพอร์ต เห็นเงินฝากที่เราฝากเข้าไปเพิ่ม โบรกก็จะทำการขยายวงเงินให้ บางครั้งโดยที่เราไม่ต้องร้องขอขยายวงเงิน โบรกเกอร์ก็สามารถปรับขยายวงเงินให้เราได้เลย
เรื่องวงเงินและเงินฝากไม่ค่อยมีปัญหาสำหรับบัญชีประเภทนี้ เพราะฝากเงินไปเท่าไหร่ก็ซื้อขายได้เท่านั้น ข้อดีสำหรับบัญชีประเภทนี้กับนักเล่นหุ้นหน้าใหม่หรือพวกมือใหม่ก็คือ บัญชีนี้จะไม่เอื้อให้เราเล่นเกินตัว หรือลงทุนเกินตัว ให้เราอยู่กับความจริงและอยู่กับเงินที่เรามีอยู่จริงๆ อย่าได้หลงคิดว่า เล่นบัญชีเงินกู้ดีกว่า เพราะซื้อได้มากกว่าถึง 2 เท่า อย่าหลงคิดว่า เล่นบัญชีเงินสดดีกว่า เพราะเล่นแบบเดย์เทรด ซื้อเช้าขายบ่าย หักลบกลบหนี้แล้วได้เสียคงไม่เท่าไหร่ ไม่มีเงินสดเป็นแสนก็เล่นหุ้นในวงเงินหมื่นเงินแสนได้ หรือเล่นในวงเงินหลักล้านได้ อย่าลืมว่าปัจจัยที่มีผลต่อการเล่นหุ้นเป็นอย่างมากคือเรื่องของจิตวิทยา ความโลภและความกลัว หากเราเล่นด้วยเงินกู้หรือเงินที่เราไม่มีอยู่จริง จิตใจเราย่อมอ่อนไหว ตกใจกลัวได้ง่าย