เป็นคำถามที่หลายคนเกิดความสงสัยว่า ถ้าอ่านงบการเงินแล้วเล่นหุ้นจะทำให้ประสบความสำเร็จและมีกำไรเป็นกอบเป็นกำได้จริงหรือ เพราะฉะนั้นมาดูคำตอบกัน
ความเข้าใจผิดใน “หลักการของการลงทุน”
- เข้าใจผิดว่า การวิเคราะห์พื้นฐาน คือ การวิเคราะห์อดีต
- เข้าใจผิดว่า หุ้นพื้นฐานดี คือ หุ้นที่เติบโต
- เข้าใจผิดว่า หุ้นที่เติบโต คือ หุ้นที่ราคาจะขึ้น
ความเข้าใจงบการเงินแบบนี้แล้วคิดว่าดี คิดว่าต้องซื้อ คิดว่าซื้อแล้วรวยแน่ๆคิดว่ามันบวกๆๆๆ หากเป็นแบบนี้นักบัญชีคงรวยไปหมดแล้ว ที่สำคัญบรรดาคอร์สทั้งหลายก็มักจะสอนต่อๆกันมาในแนวนี้ นักเล่นหุ้นมือใหม่จึงคิดว่าแนวทางนี้จะสามารถ
- ป้องกันเงินต้นให้อยู่รอดปลอดภัยได้ แต่ความจริงคือ เจ๊งระเนระนาด
- ช่วยให้เงินเติบโตและรวยในอนาคต แต่ความจริงคือ แค่มีเงินเหลือเท่าทุนก็บุญแล้ว
- ช่วยทำให้นักลงทุนสามารถลาออกจากงานประจำที่น่าเบื่อได้โดยเร็ว แต่ความจริงคือ ทำใจและต้องกลับไปทำงานประจำอยู่ดี
ดังนั้นก่อนเชื่อลองย้อนมาดูปัจจัยเหล่านี้ก่อนดีกว่าไหม?
ส่วนที่ 1 กิจการดีหรือไม่ดี
อย่าพึ่งลืม “หลักของการลงทุน” ที่ปรมาจารย์ในตลาดทุกคนต่างกล่าวว่า “ซื้อหุ้นก็เหมือนซื้อกิจการ”กิจการที่ยังมือใหม่มากๆลองนึกไปถึงภาพ ร้านข้าวมันไก่ของอาซิ่ม แถวบ้าน ลองคิดตามดูจะพบว่า
- ถ้าข้าวมันไก่มันของอาซิ่มไม่อร่อย จะมีคนกินไหม? (หากสินค้าไม่ดีจะไปขายที่ไหนยังไงก็ขายยาก)
- ถ้าแถวบ้านมีแต่คนย้ายออกจากหมู่บ้าน แล้วแบบนี้ใครจะกินข้าวมันไก่? (ปริมาณความต้องการลูกค้าที่น้อยลงมีผลมากๆ)
- ถ้าแถวนั้นมี ร้านข้าวมันไก่ประตูน้ำชื่อดังมาเปิดแข่งอยู่ด้วย แล้วแบบนี้ใครจะกินข้าวมันไก่อาซิ่ม? (คู่แข่งที่เหนือกว่ามีผลแน่นอน)
หากพิจารณากรณีศึกษาของอาซิ่ม สถานการณ์นี้ค่อนข้างย่ำแย่และเป็นการยากที่จะพัฒนาให้มันอยู่ในจุดที่ดีไปเรื่อยๆได้ และเมื่อเปรียบเทียบกับการลงทุน การซื้อ “สินทรัพย์หรือกิจการ ที่น่าจะผลิตเงินให้เราในอนาคต” น่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด และถ้าจะถามต่อว่าหุ้นตัวที่ไม่น่าจะทำเงินแล้ว เพราะสินค้าแย่ ลูกค้าไม่มีและไม่สามารถปรับปรุงได้ ควรจะทำอย่างไร คำตอบก็คือ ซื้อมาเพื่อขายซาก ราคาต้องต่ำกว่าบุ๊ค จึงจะน่าสนใจ
ส่วนที่ 2 ทิศทางในอนาคต
หากพูดถึงทิศทางในอนาคต เรามักคำนึง 3 สถานการณ์ คือ ผลิตเงินได้น้อยลง ผลิตเงินได้เท่าเดิม หรือ ผลิตเงินได้มากขึ้น มามองกันต่อในกรณีของอาซิ่ม
สมมติว่า ในปัจจุบันซิ่มขายข้าวมันไก่ได้ได้วันละ 400 ห่อ ในราคาห่อละ 50 บาท ใน 1 เดือนจะขายเพียง 20 วัน ส่วนต้นทุนประมาณครึ่งหนึ่ง คิดง่ายๆหนึ่งเดือนซิ่มจะมี ยอดขายเท่ากับ 400,000 บาท หักต้นทุน 200,000 บาท ก็จะมีเก็บเงินสดเป็นกำไรถึง 200,000 บาท แต่ซิ่มบอกว่า ซิ่มแก่และไม่มีลูกหลาน จึงขอขายกิจการต่อให้ในราคา 1,200,000 บาท เท่ากับว่า 6 เดือนจึงจะคืนทุน หากเป็นแบบนี้อยากถามว่า คุณจะซื้อไหม?
การวิเคราะห์ หากอนาคต
- ร้านซิ่มขายได้น้อยลงเหลือเพียง 300 ห่อ (เพราะลูกค้าน้อยลง หรือ อาจมีคู่แข่งมากขึ้น) เราควรจะซื้อที่ราคา ต่ำกว่า 1.2 ล้านไหม?
- ร้านซิ่มขายได้เท่าเดิมคือ 400 ห่อ (เพราะลูกค้าเท่าเดิม หรือ คู่แข่งเท่าเดิม) เราควรจะซื้อที่ราคา 1.2 ล้านไหม?
- ร้านซิ่มขายได้มากขึ้นคือ 500 ห่อ (เพราะลูกค้ามากขึ้น หรือ คู่แข่งน้อยลง) เราควรจะซื้อที่ราคา แพงกว่า 1.2 ล้านไหม?
สรุป การที่เราจะซื้อหุ้น กิจการ หรือสินทรัพย์ สิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามก็คือ “อนาคต” และต้องประเมินราคาให้เป็น งบการเงินจะเป็นเพียงสิ่งที่บอกถึง โครงสร้าง สัดส่วน ที่สะท้อนถึง ความสามารถในการดำเนินงานในอดีต แต่ไม่ได้แปลว่า ความสามารถในอดีต จะเป็นตัวกำหนดอนาคต
ส่วนที่ 3 เทียบราคากับมูลค่า
สมมุติว่า ร้านข้าวมันไก่ของซิ่มถูกตีขายกันที่ราคา 1 ปีคืนทุน จากที่ซิ่มคาดการณ์ไว้ให้เราคือ 6 เดือน โดยคาดว่าอนาคตจะขายได้เท่าเดิมคือ 400 ห่อ จึงแปลได้ว่า “อาซิ่มขายให้เราได้ถูกกว่าเรทปกติครึ่งหนึ่ง” นั่นคือความจริงต้องขายที่ 2.4 ล้าน แต่เรากลับซื้อมาได้ที่ราคา 1.2 ล้าน ดูแล้วกำไรมากๆน่าซื้อไหม? แต่…. การได้มาซึ่งมูลค่าที่ 2.4 ล้าน ต้องมาจาก “การประเมินมูลค่า” ด้วย 2 หลักการคือ
- ประเมินจากศักยภาพของกิจการในอนาคตอย่างเดียวไม่สนใจอย่างอื่น และ
- ประเมินจากการเปรียบเทียบกับรายอื่นในอนาคตที่ขายอาหารเหมือนกัน
หากการซื้อร้านขายข้าวมันไก่ของซิ่ม อยู่ที่ราคา 3.6 ล้าน หรือ 4.8 ล้าน เพราะมูลค่าที่ตลาดให้ เมื่อนั้นเกิดความเสียหายแน่นอน
สรุป เราสามารถกลับไปแก้ความเข้าใจผิด 3 ข้อแรกที่จั่วหัวไว้ได้ว่า
- การวิเคราะห์พื้นฐาน คือ การวิเคราะห์ว่าร้านข้าวมันไก่ขายดีไหม กำไรเท่าไหร่ และจะเป็นอย่างไร ใน”อนาคต”
- หุ้นพื้นฐานดี คือ ร้านข้าวมันไก่ ที่มียอดขายหรือมีกำไร “มากกว่า” ร้านอื่นๆ แม้แต่ช่วงที่มีการแข่งขันสูง หรือ เศรษฐกิจเลวร้าย
- หุ้นที่เติบโต คือ ร้านข้าวมันไก่ ที่มียอดขายหรือกำไร “เพิ่มขึ้น” ในอนาคต ไม่ว่าจะด้วยปัจจัยใดๆก็ตาม
- หุ้นที่ราคาจะเพิ่มขึ้น คือ ร้านข้าวมันไก่ ที่ติดป้ายขายในราคาที่ “ต่ำกว่า” ราคาที่ตลาดประเมิน
- หุ้นที่จะทำให้คุณติดดอย คือ ร้านข้าวมันไก่ ที่ติดป้ายขายในราคาที่ “สูงกว่า” ราคาที่ตลาดประเมิน
ทีนี้ก็พอจะเข้าใจกันแล้วใช่ไหมเอ่ย อย่างไรก็ตามก่อนตัดสินใจเล่นหุ้น ควรทำความเข้าใจกับหุ้นให้ดีก่อนจะดีกว่า