ในยุคของการลงทุนและการเก็บออมเพื่ออนาคตข้างหน้าเป็นเรื่องสำคัญ สิ่งที่หลาย ๆ คนกำลังตัดสินใจอยู่คงไม่พ้นเรื่องการเลือกซื้อหุ้น กองทุนหรือตราสารหนี้ ซึ่งแต่ละชนิดการลงทุนต่างกันอย่างไร และแต่ละแบบเหมาะสำหรับลักษณะนิสัยการลงทุนของใครบ้าง สามารถสำรวจตนเองได้ว่าควร ซื้อหุ้น กองทุนรวม หรือตราสารหนี้ ตามรายละเอียดดังนี้
1.หุ้น
หุ้นคือหลักทรัพย์ที่ประชาชนทั่วไปสามารถเป็นเจ้าของได้ ซึ่งเมื่อผู้ลงทุนได้ซื้อในบริษัทใดก็จะเปรียบเสมือนเป็นเจ้าของบริษัทนั้น โดยผู้ลงทุนสามารถรับกำไรจากบริษัทหากธุรกิจมีผลประกอบการเป็นที่น่าพอใจ เช่นเดียวกันหากบริษัทที่ผู้ถือหุ้นลงทุนขาดทุนก็จะทำให้มูลค่าหรือราคาหุ้นลดลงได้ การลงทุนในตลาดหุ้นเป็นการเข้าร่วมไปลงทุนธุรกิจที่ตนเองสนใจ โดยเจ้าของบริษัทหุ้นนั้นจะได้นำเงินจากการจำหน่ายหุ้นไปเป็นส่วนหนึ่งของการลงทุนเพื่อให้ได้ผลกำไรมากขึ้น
ประเภทของการลงทุนในหุ้น
1) การลงทุนในหุ้นพื้นฐาน
หุ้นพื้นฐาน เป็นการลงทุนที่ผลตอบแทนไม่ผันผวนมาก นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนแปลงที่ใกล้เคียงกับ SET หุ้นพื้นฐานจะมีสถานะการเงินที่น่าเชื่อถือ เป็นผู้ให้บริการในสินค้าที่ได้รับความนิยม นอกจากนี้ยังได้รับการยอมรับจากนักลงทุนจนหุ้นมีราคาสูงมากขึ้นเรื่อย ๆ ข้อดีของหุ้นพื้นฐานคือการให้เงินปันผลที่สม่ำเสมอ นักลงทุนที่เลือกลงทุนในหุ้นพื้นฐานควรมีลักษณะนิสัยที่ไม่ชอบการเสี่ยง และไม่มีเวลาติดตามหุ้นมากนัก
2) การลงทุนในหุ้นตามข่าว
หุ้นตามข่าวหรือที่เรียกว่า หุ้นมีสตอรี่ คือการที่นักลงทุนซื้อหุ้นตามข่าวสารที่ออกมาเพื่อเก็งกำไรหุ้นนั้น ๆ โดยหุ้นที่ซื้ออาจมีสถานะการเงินที่มั่นคงหรือไม่ก็ได้ การลงทุนในหุ้นลักษณะนี้ควรมีความระมัดระวังอย่างสูง เนื่องจากว่าหุ้นที่ซื้ออาจมีราคาตกลงมาจนนักลงทุนขาดทุนเมื่อใดก็ได้ ทั้งนี้ผู้ที่เลือกลงทุนเก็งกำไร ควรมีลักษณะนิสัยกล้าตัดสินใจและมีความหนักแน่น มั่นคง
3) การลงทุนในหุ้นเติบโต
ผู้ที่ลงทุนในหุ้นประเภทนี้ต้องมีความสามารถในการวิเคราะห์ธุรกิจเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งยังต้องมีความสามารถในการดูกราฟเชิงเทคนิคเพื่อหาจังหวะในการเข้าซื้อ ทั้งนี้การลงทุนในหุ้นเติบโต จำเป็นต้องใช้ความชำนาญเพื่อให้มั่นใจได้ว่าหุ้นที่เลือกนั้นสามารถเติบโตได้ในอนาคตอย่างแท้จริง
2.กองทุนรวม
กองทุนรวมคือ เครื่องมือเพื่อช่วยให้ผู้ลงทุนแต่ขาดเงินทุนจำนวนมากได้มีโอกาสลงทุนในตลาดหุ้นได้ ซึ่งกองทุนรวมจะเป็นของธนาคารต่าง ๆ หรือบริษัทหลักทรัพย์ โดยมีผู้จัดการกองทุนทำหน้าที่วางแผนการลงทุนเพื่อให้พอร์ตกองทุนได้กำไร กองทุนรวมจะเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนในหุ้นหลายประเภท แต่ขาดแคลนเงินทุนจำนวนมาก นอกจากนี้กองทุนรวมยังเหมาะกับผู้ที่ไม่มีเวลาหาความรู้หรือไม่กล้าตัดสินใจเสี่ยงในหุ้นเอง การลงทุนในกองทุนจัดได้ว่าเป็นทางเลือกที่ดีทางเลือกหนึ่งสำหรับบุคคลดังกล่าว
ประเภทของกองทุนรวม
กองทุนรวมมีสองประเภทหลัก ๆ ที่ได้รับความนิยมดังต่อไปนี้
1) กองทุนรวม RMF
เรียกกองทุนประเภทนี้อีกชื่อหนึ่งว่ากองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ โดยจะเน้นการลงทุนในระยะยาวเพื่อผลประโยชน์หลังจากเกษียณอายุ โดยสามารถลดหย่อนภาษีได้อีกด้วย โดยข้อดีของกองทุนนี้คือเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเงินก้อนและความมั่นคงในวัยเกษียณและต้องการลดหย่อนภาษีกรณีที่เป็นมนุษย์เงินเดือนนั่นเอง
2) กองทุนรวม LTF
กองทุนประเภทนี้เรียกอีกชื่อหนึ่งว่ากองทุนรวมหุ้นระยะยาว โดยจะเน้นการลงทุนในหุ้นหลาย ๆ ประเภท ข้อดีของการลงทุนในกองทุนหุ้นประเภทนี้จะช่วยในการลดหย่อนภาษีได้นั่นเอง ซึ่งผู้ลงทุนสามารถขายได้หลังจากระยะเวลาผ่านพ้นไปห้าปี เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในหุ้น แต่ทว่าไม่มีความกล้ามากพอ การลงทุนใน LTF เป็นทางเลือกที่ดีอีกทางหนึ่ง
สำหรับการลงทุนในกองทุน นอกจากจะสามารถทำให้เกิดผลตอบแทนได้แล้ว ยังช่วยในเรื่องการออมเงินอีกด้วย ผู้ที่ต้องการออมเงินสามารถใช้กองทุนทั้งสองประเภทนี้เป็นตัวช่วยให้เกิดการออมเงินมากขึ้นนั่นเอง เนื่องจากว่าการนำเงินไปลงทุนในกองทุนจะไม่สามารถนำออกมาใช้ได้จนกว่าจะถึงระยะเวลาที่กำหนดไว้ ซึ่งเงื่อนไขเหล่านี้คือตัวบังคับกลาย ๆ ให้นำเงินเก็บออม
อ่านเพิ่มเติม >> มุมมองเกี่ยวกับ RMF และ LTF ของกูรูนักลงทุน <<
3.ตราสารหนี้
ตราสารหนี้คือ ตราสารที่อยู่ในรูปแบบของสัญญาทางการเงิน ซึ่งถ้าภาครัฐออกตราสารหนี้จะเรียกว่าพันธบัตร แต่เอกชนเป็นผู้ออกจะเรียกว่าหุ้นกู้ การลงทุนในตราสารหนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ริเริ่มลงทุน เนื่องจากการลงทุนประเภทนี้จะได้รับผลตอบแทนอย่างสม่ำเสมอ อีกทั้งยังไม่ต้องเผชิญกับภาวะความเสี่ยง นอกจากนี้ตราสารหนี้ยังมีสภาพคล่องมากอีกด้วย เพราะนักลงทุนสามารถถอนแล้วได้รับเงินเลยในวันถัดไป ต่างจากหุ้นหรือกองทุนที่อาจจะต้องรอเวลาเพื่อขาย
ลักษณะของผู้ที่เหมาะกับการลงทุนในตราสารหนี้คือผู้ที่ต้องการผลตอบแทนจากเงินฝากมากกว่าการฝากประจำ และต้องการลงทุนในแบบที่ไม่เสี่ยงจนเกินไปนัก ทั้งนี้ตราสารหนี้มีให้เลือกหลายธนาคาร ขึ้นอยู่กับผู้ลงทุนว่าต้องการเลือกตราสารหนี้จากธนาคารใดมากที่สุด
อ่านเพิ่มเติม >> ลงทุนใน ตราสารหนี้ ไม่มีหนี้ แต่มีเงินเพิ่ม <<
เมื่อพิจารณาการลงทุนทั้งสามรูปแบบแล้ว ปัจจัยสุดท้ายที่นักลงทุนควรพิจารณาคือความสามารถในการยอมรับความเสี่ยงและความจำเป็นที่ต้องใช้เงินในอนาคต เพราะสิ่งเหล่านี้คือปัจจัยสำคัญบ่งบอกว่าตัวนักลงทุนเหมาะกับการลงทุนประเภทหุ้น กองทุนหรือตราสารหนี้นั่นเอง หากเลือกได้แล้วสิ่งที่ควรทำต่อไปคือการศึกษาความรู้ในสิ่งที่ตนต้องการลงทุนเพื่อให้เงินลงทุนไม่สูญเปล่าในอนาคต