สำหรับในยุคปัจจุบันที่หลาย ๆ คนมีความตื่นตัวในเรื่องของการเงินมากขึ้น เนื่องจากความรู้ทางด้านการเงินสามารถเข้าถึงได้ง่ายกว่าแต่ก่อน จากการใช้งานอินเตอร์เน็ตหรือสื่อต่าง ๆ ทำให้หลาย ๆ คนหันมาสนใจที่จะออมเงินเพิ่มมากขึ้น และหาช่องทางการลงทุนเพิ่มเติมต่างหากจากงานที่ทำอยู่ เพราะเริ่มมีความเข้าใจมากขึ้นในเรื่องของการกัดกินค่าเงิน ของอัตราเงินเฟ้อที่แม้ว่าเราจะเก็บออมเงินและฝากไว้ในธนาคารเพื่อเป็นเงินสำรองนั้น ถึงแม้จะมากเท่าไรก็ไม่พอเพราะอัตราดอกเบี้ยที่ได้จากการฝากเงินไว้ในธนาคารนั้น ต่ำกว่าอัตราของเงินเฟ้อที่ทำให้ค่าเงินลดลง ซึ่งช่องทางการลงทุนก็มี หลายช่องทาง เช่น การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ การลงทุนในธุรกิจอื่น ๆ หรือการลงทุนในหุ้นนั่นเอง
การลงทุนในหุ้นนั้นมีทฤษฎีหรือแนวทางการลงทุนในรูปแบบต่าง ๆ รองรับมากมาย ซึ่งหลัก ๆ แล้วเราจะแบ่งการลงทุนในหุ้นออกเป็น 2 ลักษณะใหญ่ ๆ คือ การลงทุนแบบ VI (Value Investment) ซึ่งก็คือการลงทุนแบบเน้นคุณค่าและอีกรูปแบบหนึ่งก็คือ การลงทุนโดยใช้กราฟหรือที่เรียกว่า Technical Analysis นั่นเอง ซึ่งการลงทุนทั้ง 2 รูปแบบก็มีความแตกต่างกันมากพอสมควร
สำหรับการลงทุนแบบ VI
จะเน้นการลงทุนในตัวพื้นฐานของกิจการ เป็นการลงทุนระยะยาว โดยไม่สนใจการแกว่งตัวของราคาหุ้นมากนัก เพราะมีแนวคิดที่ว่าการลงทุนในหุ้น คือ การลงทุนทำธุรกิจ การจะลงทุนก็ควรดูการดำเนินงาน ของกิจการ นโยบายต่าง ๆ และงบการเงิน ว่าสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ดีหรือไม่ ถ้าดีเพียงพอก็อาจหมายความว่าหุ้นตัวนั้น มีความน่าสนใจและถ้าหากหุ้นบริษัทนั้นมีเงินปันผลให้กับเราด้วยและมีความสม่ำเสมอในระยะเวลาหลาย ๆ ปี ย้อนหลัง ก็จะยิ่งเพิ่มความน่าสนใจเข้าไปอีก
ในส่วนของ Technical Analysis
ก็หมายถึง การใช้สัญญาณทางเทคนิคแบบต่าง ๆ มาช่วยวิเคราะห์ราคาหุ้น ว่ามีแนวโน้มเป็นอย่างไรและเครื่องมือเหล่านั้นสามารถที่จะบอกเราได้ถึงจังหวะเวลา ว่าเราควรซื้อหรือขายเมื่อไหร่ โดยการลงทุนรูปแบบนี้จะเน้นไปที่การลงทุนระยะสั้น ไปจนถึงระยะกลางเสียเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากการลงทุนรูปแบบนี้ มักจะเป็น การลงทุนเพื่อเก็งกำไร ไม่เน้นพื้นฐานของกิจการมากนัก แต่ก็สามารถนำมาเป็นส่วนหนึ่งในการวิเคราะห์ได้ ดังนั้น การลงทุนรูปแบบนี้จึงไม่เน้นผลตอบแทนในรูปของเงินปันผล
เมื่อรู้ถึงรูปแบบการลงทุนแล้ว หลายคนอาจนึกออกว่า Passive Income คืออะไร และสามารถหาได้จากไหนบ้าง ซึ่ง Passive Income แปลตรงตัวก็คือ รายได้ที่ติดตัวเราโดยเราไม่ต้องลงมือทำงานนั่นเอง ซึ่งจะอยู่ตรงข้ามกับ Active Income ที่มีความหมายว่าเป็นรายได้จากการทำงาน เช่น การทำงานประจำ การเป็นเจ้าของกิจการที่ยังคงต้องเข้าออฟฟิศอยู่หรือ การทำงานในลักษณะอื่น ๆ ที่มีการลงแรง ความคิด และเวลาอยู่นั่นเอง
กลับมาในส่วนของ Passive Income
คือ เงินที่ได้มาโดยที่เราไม่ต้องทำงาน หมายความว่ายังไง ทำไมไม่ทำงาน แต่ยังได้เงินอยู่ ก็คือการที่เราใช้เงินต่อเงินนั่นเอง โดยการลงทุนผ่านช่องทางต่าง ๆ คล้าย ๆ กับการลงทุนในหุ้นในลักษณะ ของชาว VI เพราะเป็นการลงทุนในธุรกิจเมื่อธุรกิจทำกำไรได้ดี เราก็มีรายได้ที่ดีนั่นเอง ตัวอย่างในการลงทุนที่สามารถสร้าง Passive Income ได้ เช่น การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ การลงทุนในลักษณะนี้ เป็นการสร้าง Passive Income ในระยะยาว เนื่องจากมีความเชื่อกันว่าราคาที่ดินมีแต่จะปรับตัวสูงขึ้น แต่ขึ้นอยู่กับระยะเวลาเท่านั้น
สำหรับใครที่อยากได้ Passive Income จากธุรกิจแบบนี้ก็คือ ต้องทำการลงทุนในคอนโด บ้าน หรือที่ดิน โดยการปล่อยให้ลูกค้าเช่าเพื่ออาศัยหรือเพื่อทำธุรกิจนั่นเอง คือ การที่เราไม่ต้องลงมือทำงาน แต่เมื่อสิ้นเดือนเราทำเพียงแค่การรับค่าเช่านั่นเองหรืออีกตัวอย่างก็คือ การลงทุน ในหุ้นพื้นฐานตามแนวทางของ Value Investment เพราะการลงทุนในหุ้นที่กิจการดำเนินได้ดี มีความแข็งแรง มีความสามารถในการแข่งขัน มีอนาคตที่ดีนั้น ส่วนใหญ่ก็จะมีการแบ่งรายได้ให้กับผู้ถือหุ้นในรูปแบบของเงินปันผลนั่นเอง ซึ่งเงินปันผลนี้เอง คือ Passive Income ที่เราจะได้รับ ซึ่งการลงทุนแบบนี้จะเห็นได้ชัดว่า เราไม่ต้องทำงานเอง เพราะเราเปรียบเสมือนเจ้าของบริษัท เราก็เพียงให้ผู้บริหาร หรือพนักงานในบริษัททำงานให้กับเรานั่นเอง
และสำหรับใครที่ อยากมี Passive Income ต่อเดือนอยู่ที่ประมาณ 20,000 บาท เราก็มีวิธีคำนวณมาให้ลองทำกันดู สูตรคำนวณมีดังนี้
เงินลงทุน = ค่าใช้จ่ายต่อเดือน x 12 และหารด้วย %ผลตอบแทนที่คาดหวัง
ตัวอย่างการคำนวณ ดังนี้
- สมมุติเราอยากได้ Passive Income ที่ 20,000 ต่อเดือน
- เงินลงทุนของเราจะเท่ากับ 20,000 x 12 / 0.10 (กำหนดผลตอบแทนที่คาดหวังเป็น 10% ต่อปี
- แต่ตลาดหุ้นมีอัตราผลตอบแทนอยู่ที่ 12% ในที่นี้เราคำนวณต่ำกว่าค่าเฉลี่ย)
- เงินลงทุนก็จะเท่ากับ 2,400,000 บาทนั่นเอง
สำหรับใครที่ อยากมี Passive Income เป็นของตัวเอง ก็ต้องพยายามสนใจในเรื่องของเครื่องมือทางการเงิน และลองคำนวณตามสูตรคำนวณข้างต้นที่ให้ไว้กันดู เพราะค่าใช้จ่ายหรือการใช้ชีวิตของแต่ละคนนั้นมีต้นทุนต่อเดือนที่ไม่เท่ากัน ใครอยากได้เท่าไรก็ลองคำนวณกันดู เพราะวันไหนที่เราสามารถมี Passive Income ได้ตามที่เราตั้งเป้าหมายไว้ก็แปลว่าวันนั้นเราจะไม่ต้องทำงานอีกต่อไป เพราะเราจะได้เงินส่วนนี้มาใช้จ่าย และนี้เองที่เรียกว่า อิสรภาพทางการเงิน
อ่านเพิ่มเติม : Passive Income กับความเข้าใจผิดๆ