หากเอ่ยถึงเซียนหุ้นมืออาชีพที่เน้นการเล่นหุ้นเก็งกำไร เหล่านักลงทุนหุ้นคงไม่มีใครที่ไม่รู้จักกับเสี่ยป๋อง วัชระ แก้วสว่าง เพราะเสี่ยป๋องเป็นผู้ที่ลงทุนในหุ้นและได้กำไรจนเป็นที่ยอมรับในวงการอย่างกว้างขวาง นักลงทุนรายย่อยในตลาดหุ้นล้วนแล้วแต่ยกย่องว่าเสี่ยป๋องคือนักเล่นหุ้นเชิงเทคนิคที่ควรนำเคล็ดลับของเขามาปรับใช้ ซึ่งกว่าที่เสี่ยป๋องจะมาถึงจุดนี้ เขาต้องใช้ความมานะพยายามบวกกับการหาความรู้หลายต่อหลายอย่าง ซึ่งเทคนิคการเล่นหุ้นที่เสี่ยป๋องทำอยู่มีดังต่อไปนี้
อยากรู้จักเสี่ยป๋อง ต้องอ่าน! >> เสี่ยป๋อง วัชระ แก้วสว่าง กับการบริหารเงินสู่เซียนหุ้นพันล้าน <<
1.หาความรู้ตลอดเวลา
การเป็นนักลงทุนในหุ้นไม่ได้ทำงานแค่ในช่วงที่ตลาดหุ้นเปิดทำการเท่านั้น หากแต่ต้องทำงานนับแต่ตื่นขึ้นมาจนกระทั่งเข้านอน เพราะข่าวสารที่เกิดขึ้นในตลาดหุ้นต่างประเทศล้วนแล้วแต่มีผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยด้วยกันทั้งสิ้น ดังนั้นเสี่ยป๋องจึงต้องหาข่าวและจับทิศทางของข่าวสารต่าง ๆ ว่าข่าวแต่ละข่าวจะมีผลต่อการลงทุนในหุ้นอย่างไรบ้าง ตั้งแต่เวลา 06.00 น.- 07.00 น. และหลังจากตลาดปิดในแต่ละวัน เสี่ยป๋องก็ศึกษาสัญญาณต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในตลาดหุ้น จนกระทั่งเข้านอนตอนเวลา 01.00 น. จะเห็นได้ว่าการเป็นผู้ที่กุมกำไรพอร์ตหลักร้อยล้านไม่ใช่สิ่งที่ได้มาง่ายดาย หากแต่ต้องใช้ทั้งความพยายามและความตั้งใจอย่างยิ่งยวดเลยทีเดียว
2.ต้องมีค่าวิชาเสียก่อน
เสียป๋องเคยมีประสบการณ์ขาดทุนในหุ้นตอนช่วงเกิดวิกฤติการณ์ต้มยำกุ้ง หากช่วงนั้นใครที่เคยได้เข้าตลาดหุ้นจะพบว่าช่วงก่อนที่ฟองสบู่จะแตก Set เคยได้ไปถึง 1,700 เลยทีเดียว แต่ทว่าในระยะเวลาไม่นาน Set ก็ได้ลงหนักถึง 1,200 ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นนี้เองทำให้เสี่ยป๋องขาดทุนมากอย่างคาดไม่ถึง และทำให้เสี่ยป๋องตระหนักดีว่าการเล่นหุ้นจะไม่สามารถใช้การคาดเดาเพียงอย่างเดียวได้ หากแต่ต้องใช้วิชาเทคนิคอลมาผสมผสานด้วย สำหรับเหตุการณ์ช่วงต้มยำกุ้งที่เป็นบทเรียนชั้นยอดของเสี่ยป๋องคือการที่เขาได้ซื้อหุ้นเกี่ยวกับไฟแนนซ์มาไว้จำนวนมาก และในที่สุดก็ขาดทุนย่อยยับ ทำให้เสี่ยป๋องต้องเลือกใช้กราฟเทคนิคมาเป็นเหมือนเข็มทิศบอกว่าหุ้นจะเป็นไปในทิศทางใดนั่นเอง
3.เมื่อเดินผิดทาง ต้องปรับสไตล์การลงทุน
ในช่วงที่ตลาดหุ้นไม่เป็นดังที่ใจหวัง สิ่งที่นักลงทุนควรทำมากที่สุดคือปรับเทคนิคการเล่นและสไตล์การลงทุนของตนเอง โดยเริ่มต้นที่การวิเคราะห์กราฟเทคนิค จากนั้นจึงค่อยหาราคาเป้าหมายของหุ้นที่ต้องการลงทุน โดยอย่าลืมหาข่าวสารเกี่ยวกับหุ้นตัวนั้นพร้อม ๆ กับประเมินสถานการณ์ของอนาคตไปด้วยในตัว เพื่อให้การลงทุนสร้างผลตอบแทนที่ดีและไม่ขาดทุนในอนาคต
4.ยอมรับความผิดพลาดของตนเอง
เสี่ยป๋องได้กล่าวถึงกรณีศึกษาช่วงหนึ่ง สาเหตุที่ได้กำไรต่ำกว่าที่คาดก็เนื่องมาจากเน้นการซื้อหุ้นกลุ่มพลังงานเป็นหลัก และเน้นหุ้นตัวใหญ่ ซึ่งสิ่งที่ตามมาคือผลตอบแทนน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก โดยได้เพียง 8 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ต่อมาช่วงครึ่งปีหลังเสี่ยป๋องจึงได้ยอมรับว่าสิ่งที่ตนเองคาดการณ์นั้นผิด และเลือกลงทุนในหุ้นกลุ่มเติบโต โดยพยายามคัดสรรหุ้นที่มีเรื่องราวและเป็นหุ้นขนาดเล็กหรือขนาดกลาง จากการซื้อหุ้นเหล่านี้ในครึ่งปีหลังทำให้เสี่ยป๋องพลิกกลับมามีกำไรได้ตามที่ตั้งเป้าไว้
5.ลงทุนในหุ้นเต็มพอร์ต
สาเหตุที่เสี่ยป๋องได้กำไรมากขึ้นก็ เนื่องจากว่าเสี่ยป๋องซื้อหุ้นไว้เต็มพอร์ต และหุ้นเหล่านั้นเป็นหุ้นเล็ก ซึ่งจากการที่เขาได้ลงทุนในหุ้นมากเต็มมูลค่า ก็ทำให้ผลตอบแทนเพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จากเหตุการณ์นี้สื่อให้เห็นว่าเมื่อถึงเวลาที่มั่นใจแล้ว การลงทุนในหุ้นด้วยเงินทั้งพอร์ตคือทางเลือกที่นักลงทุนทุกคนไม่ควรพลาด แต่ทั้งนี้ก็ควรมองหาทางหนีทีไล่เอาไว้ด้วย เพราะการลงทุนด้วยเงินทั้งพอร์ต หากขาดทุนก็จะยิ่งขาดทุนทวีคูณนั่นเอง
6.มีการเตรียมความพร้อมอยู่เสมอ
เนื่องจากว่าการลงทุนในตลาดหุ้นของไทยมักมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น ดังนั้นเมื่อถึงช่วงที่เสี่ยป๋องไม่แน่ใจ เขาเลือกเก็บเงินสดไว้ในพอร์ตเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมถึงอนาคตที่เกิดขึ้น เพราะเมื่อตลาดหุ้นลงหนักจะได้มีเงินเพื่อซื้อหุ้นดีราคาถูกนั่นเอง
7.เลือกหุ้นที่มีสตอรี่
เทคนิคที่เสี่ยป๋องใช้ในการคัดเลือกหุ้นคือการเลือกหุ้นที่ไม่ต้องมีราคาสูงนัก แต่ทว่ามีสตอรี่ ยกตัวอย่างเช่น การได้ข่าวว่าจะมีการลงทุนของภาครัฐ เสี่ยป๋องก็จะคัดเลือกหุ้นเกี่ยวกับการลงทุนของภาครัฐและดูแนวโน้มราคา สิ่งเหล่านี้จะเป็นการรับประกันได้ว่าการซื้อหุ้นจะสร้างผลตอบแทนที่น่าพอใจ
8.นักลงทุนที่ดีต้องรู้จักขายปรับพอร์ตทำกำไร
เสี่ยป๋องได้ให้คำแนะนำว่านักลงทุนที่ดีต้องรู้จักพอ บางครั้งเห็นกำไรอยู่ในพอร์ตหุ้นแต่ไม่เลือกขายทำกำไร หากเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น ก็อาจจะทำให้กำไรกลายเป็น 0 หรือขาดทุนได้เลยทีเดียว ดังนั้น เมื่อเห็นว่าหุ้นในพอร์ตมีกำไร ก็ควรขายอย่างไม่ต้องลังเล เพื่อนำกำไรนั้นมาต่อยอดและลงทุนในลำดับต่อไป