ถ้าเราได้อ่านหนังสือของบรรดาเซียนหุ้นทั้งหลายที่วางขายในท้องตลาด เราเจออยู่ 2 คำ คือ นักเก็งกำไร และนักลงทุน ที่บางคนบอกว่าถ้าอยากรวย อยากมีกิจการเป็นของตัวเองต้องทำตัวให้เป็นนักลงทุน อย่าทำตัวเป็นนักเก็งกำไร พออ่านเจอแบบนี้ก็ทำให้งงกันไปเลยว่า นักเก็งกำไรในหุ้น กับนักลงทุนในหุ้น มันต่างกันยังไง นักเก็งกำไร กับ นักลงทุน เราเป็นแบบไหนกัน ? วันนี้เรามาดูกัน
เริ่มที่นักเก็งกำไรกันก่อนดีกว่า
คือ กลุ่มคนที่เล่นหุ้นแล้วมีเป้าหมายว่า ต้องการผลตอบแทนระยะสั้น ไม่อยากนั่งรอเงินปันผล ที่เราจะรู้กันดีอยู่ว่าต้องรอหลายเดือนกว่าจะได้รับ
ซึ่งคนกลุ่มนี้จะคาดหวังกำไรจากการขายหุ้นเพียงอย่างเดียว ที่บางคนใช้เวลาลงทุนเพียงไม่แค่กี่เดือนหรือไม่กี่วันก็เห็นผลแล้วว่ากำไรหรือขาดทุน โดยคนที่เล่นหุ้นในกลุ่มนี้จะใช้ปัจจัยทางเทคนิค เช่น กราฟต่างๆ เส้นแนวโน้ม มาเป็นเครื่องมือในการตัดสินใจซื้อขายหุ้น มากกว่าการใช้ปัจจัยพื้นฐาน
และบางครั้งก็มีนักเก็งกำไรประเภทที่เก็งกำไรระยะสั้นมากๆ ที่ซื้อขายกันภายในวันเดียว หรือ ซื้อเช้า ขายเย็น ที่ศัพท์ในวงการจะเรียกว่าเป็นพวก “Day Trade” ซึ่งถือได้ว่าเป็นการเล่นหุ้นที่มีความเสี่ยงสูงมากๆ ถึงมากที่สุด เพราะฉะนั้นใครที่อยากจะประสบความสำเร็จในการเล่นหุ้นแบบนี้ จะต้องมีความรู้และความเข้าใจอย่างมากในการใช้ปัจจัยทางเทคนิค อีกทั้งต้องมีเวลาที่มากเพียงพอในการเฝ้ารอจังหวะการซื้อขาย และที่สำคัญจะต้องมีวินัยในการลงทุนสูงมากกว่าคนที่เป็นนักลงทุนในหุ้น
โดยหุ้นที่คนกลุ่มนี้จะเลือกลงทุนมักจะเป็นหุ้นของบริษัทที่มีอัตราการเติบโตสูง ทำให้ราคาหุ้นมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นในอนาคต หรือเรียกว่า หุ้นเติบโต (Growth Stocks) ซึ่งหากเป็นนักเก็งกำไรที่ไม่มีความรู้ทางเทคนิค และซื้อหรือขายหุ้นตามคนอื่น เชื่อพวกข่าวลือต่างๆ มั่นใจในข่าวลวงที่เกิดขึ้นตามสื่อต่างๆ โดยไม่สนใจปัจจัยพื้นฐานก็จะเป็นกลุ่มคนที่เราคุ้นหูกันดีว่า “แมลงเม่า” ซึ่งเป็นคนที่ชอบพาตัวเองไปตายในกองไฟ เพราะจะถูกหลอกให้ซื้อหุ้นที่ถูกปั่นกันมาจนราคาสูงเกินความเป็นจริง และพอราคาหุ้นตกลงมาก็ทำใจขายไม่ได้ ซึ่งเหตุการณ์แบบนี้เราจะเรียกว่า “ติดดอย” จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้นักเก็งกำไรหลายๆ คน กลายเป็นนักลงทุนระยะยาวแบบที่ไม่ได้ตั้งใจกันก็มี
ทีนี้เรามาดูอีกกลุ่มหนึ่งดีกว่านั่นก็คือกลุ่มคนที่ถูกเรียกว่า นักลงทุนหุ้น
กลุ่มนี้จะเป็นคนที่มีเป้าหมายชัดเจนในการเข้ามาเล่นหุ้นว่า อยากเป็นเจ้าของกิจการ ต้องการผลตอบแทนที่เป็นเงินปันผลมากกว่ากำไรจากขายหุ้น
ดังนั้นการลงทุนของคนกลุ่มนี้จะไม่ได้เป็นแบบ ซื้อเช้า ขายเย็นแล้ว แต่จะเป็นการซื้อวันนี้อีก 2-3 ปี ค่อยขายหรือบางคนก็ไม่ขายเลยมีแต่ซื้อเพิ่ม เพราะเห็นว่ามีผลตอบแทนที่แน่นอนจากเงินปันผลนั่นเอง อีกทั้งบริษัทที่คนเล่นหุ้นกลุ่มนี้เลือกนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทที่มีพื้นฐานดี มีกำไรต่อเนื่อง จ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ และราคามักจะสูงขึ้นเรื่อยๆ แต่ไม่ได้สูงมากแบบก้าวกระโดด แบบที่ราคาอาจจะขึ้นปีหนึ่งไม่เกิน 10 บาทก็มี
ดังนั้นหุ้นในกลุ่มที่นักลงทุนจะเลือกเล่นนั้นจะเป็นหุ้นในกลุ่มของบริษัทที่มีความั่นคง ทำกำไรได้ดีอย่างต่อเนื่อง การจ่ายเงินปันผลก็มีทุกปีหรือบางปีที่ผลประกอบการดีหน่อยก็อาจจะจ่ายได้ถึง 2 ครั้งก็มี ราคาของหุ้นก็ขึ้นๆ ลงๆ แบบไม่มากนัก และที่สำคัญคือ จะต้องเป็นหุ้นดีราคาถูก ที่เราจะได้ยินกันบ่อยมากในวงการคนเล่นหุ้นที่จะเรียกหุ้นในกลุ่มนี้ว่า หุ้นคุณค่า หรือ Value Stocks และจะเรียกนักลงทุนกลุ่มนี้ว่า นักลงทุนหุ้นคุณค่า หรือ Value Investor (VI) และที่เราจะรู้จักกันดีสำหรับนักลงทุนแบบ VI คือ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ซึ่งเป็นเศรษฐีระดับโลก ส่วนในประเทศไทยที่เป็นที่รู้จักในกลุ่มนักลงทุนก็คือ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรกรณ์