หลายๆคนเคยได้ยินแต่คำว่า ลูกกตัญญู ส่วนหุ้นกตัญญูนี่มีด้วยหรือ วันนี้มาฟังเรื่องลูกกับหุ้น ว่ามันเกี่ยวกันอย่างไร เรื่องมีอยู่ว่า มีคนช่างคิดคนหนึ่ง เขาบอกว่า คนสมัยก่อนเขารู้จักเรื่องลงทุนมานานแล้ว เขาคิดกันมานานแล้วว่า ยามแก่ที่ตัวเองทำงานไม่ไหว แล้วจะเอาอะไรกิน คำตอบคือ เขาต้องลงทุน ทุนในที่นี้ก็คือลูกๆ เขาต้องลงทุนเลี้ยงลูกให้โต ให้มีความสามารถ และลูกๆก็จะกลับมาเลี้ยงเขายามแก่เฒ่า การมีลูกจึงเป็นการลงทุนที่สำคัญของคนสมัยก่อน คนที่ไม่รู้กฎเกณฑ์การลงทุนหรือคนที่เลี้ยงลูกผิดๆ ก็จะพบกับปัญหาชีวิตตามมา เช่น เลี้ยงแล้วลูกไม่กลับมาดูแล หรือเลี้ยงแล้วได้ลูกที่เอาแต่ผลาญเงินพ่อแม่
หลักการลงทุนของคนสมัยก่อนก็คือ การมีลูกหลายๆคน ถือเป็นการกระจายความเสี่ยง เรื่องเพศของลูกก็มีส่วนสำคัญ สมัยก่อนเขาถือว่าลูกสาวเมื่อแต่งงานแล้วก็เป็นของคนอื่น ถ้ามีลูกชายก็สามารถทำรายได้ในอนาคต เพื่อเลี้ยงพ่อแม่ต่อไป อีกข้อหนึ่งก็คือ เขาอยากได้ลูกที่ตัวโตและฉลาด เรียนเก่ง เพื่อที่จะสามารถหารายได้มาเลี้ยงพ่อแม่ต่อไป และที่ขาดไม่ได้คือ การอบรมสั่งสอนให้เป็นคนดีมีความกตัญญู รักพ่อแม่ รักครอบครัว ซึ่งบางทีก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเราไม่รู้ใจเด็ก ว่าโตขึ้นแล้วจะสำนึกในบุญคุณหรือไม่ บางทีต้องอาศัยดวงเหมือนกัน
ชายช่างคิดคนดังกล่าว คิดต่อว่า ในยุคปัจจุบันโลกได้เปลี่ยนไปแล้ว คนมีภาระมากขึ้น มีสังคมที่วุ่นวาย มีสิ่งล่อตาล่อใจที่อยากได้ ลูกๆจะมีชีวิตเป็นของตนเอง มีความคิดความเชื่อที่ต่างกับคนรุ่นพ่อรุ่นแม่ ทำให้การลงทุนกับลูกแล้วหวังผลตอบแทนให้มาเลี้ยงตอนแก่เท่านั้น หวังได้น้อยลงทุกที ชายช่างคิดจึงคิดหาการลงทุนใหม่ ว่าจะมีอะไรที่ลงทุนไปแล้วจะสามารถเลี้ยงดูเราตอนแก่ได้ นั่นก็คือ ลงทุนในหุ้น
การลงทุนในหุ้นนี้หมายถึง ลงทุนจริงๆ ใช้เวลานานมาก นานพอๆกับที่เราเลี้ยงลูกคนหนึ่งจนโต แล้วสามารถเลี้ยงดูเราได้ แน่นอนว่าต้องกินเวลา 20 – 30 ปี และเพื่อกระจายความเสี่ยง ก็ต้องมีลูกหลายคน เพื่อคนโตไม่เลี้ยง คนกลางก็เลี้ยงได้ หรือคนกลางรายได้น้อย คนเล็กก็ยังช่วยจุนเจือได้ เขาจึงคิดว่าถ้าจะลงทุนในหุ้นเหมือนลงทุนในลูก ก็ต้องซื้อหุ้นไว้ 3 – 5 ตัว การเลี้ยงหุ้นก็เหมือนการเลี้ยงลูก ที่ต้องเริ่มเลี้ยงตั้งแต่เราสร้างครอบครอบ ดังนั้นเราก็ต้องซื้อหุ้นไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อให้หุ้นนั้นมีปริมาณมากพอที่จะผลิตเงินปันผลได้พอเลี้ยงเราตอนแก่ได้ ข้อดีของหุ้นที่เหนือกว่าลูกคือ หุ้นนั้นเราสามารถเลือกเอาแต่หุ้นดีๆได้ แต่เราไม่สามารถเลือกลูกที่ตัวโต ฉลาด ไอคิวดี การเลือกหุ้นที่ดีก็เท่ากับว่า เราได้หุ้นที่เก่ง นิสัยดี เลี้ยงดูเจ้าของได้ ไม่ใช่เลือกหุ้นเกเรที่คอยผลาญเงินเจ้าของ การเลี้ยงหุ้นเหมือนเลี้ยงลูกนั้น เราต้องจ่ายเงินเลี้ยงไปเรื่อยๆ เหมือนเราเลี้ยงลูกที่ต้องจ่ายค่าอาหาร จ่ายค่าเทอม ค่าหนังสือ ค่าทักษะความสามารถพิเศษต่างๆ ที่สำคัญ เราไม่ควรที่จะรีบรับผลตอบแทนจากลูกเร็วเกินไป หรือขายหุ้นเร็วเกินไป เพราะจะเหมือนกับว่า รีบให้ลูกออกจากโรงเรียนโดยที่ยังไม่สำเร็จวิชา ก็จะหาเงินได้น้อย