ใครเล่นหุ้นช่วงปี 58 ตลอดทั้งปี ลากยาวมาถึงปี 59 คงจะเห็นว่าตลาดหุ้นเมืองไทยทั้ง SET และ MAI นั้นมีภาวะผันผวนมากขนาดหักปากกาเซียน อันจะสังเกตเห็นได้จากบทความกูรูด้านหุ้นทุกสำนัก ทุกหัวหนังสือออกมาบ่นอุบไปในทางเดียวกัน จนช่วงหลัง ๆ มานี้เริ่มไม่ค่อยมีนักเก็งกำไรหุ้นออกมาฟันธงให้เห็น เพราะกลัวธงจะหักไปเสียเปล่า ๆ เคยมีกูรูฝรั่งพูดไว้ว่า หุ้นของแต่ละประเทศนั้นเล่นยาก ยิ่งเฉพาะประเภทเล่นหุ้นสายเทคนิค ดูกราฟ (ไม่นับขาหุ้นปั่นที่บัดนี้เจ๊งไปหลายราย) ยิ่งเล่นยาก ถึงแม้จะมีกำไรจาก Capital Gain ที่หอมหวนยั่วยวน แต่ถ้าคุณไม่รู้จักประเทศนั้น ๆ มากพอ คุณก็คือแมลงเม่าดี ๆ นี่เอง
เป็นที่ทราบกันดีว่าภาวะเศรษฐกิจเมืองไทยตลอดทั้งปี และในอนาคตอันใกล้นี้ยังอยู่ในภาวะซบเซาอย่างหนัก ตัวเลขเศรษฐกิจทุกตัวเลขติดลบ แม้การส่งออกก็มีอัตราที่ถดถอย เศรษฐกิจไทยไม่ดี สหรัฐเริ่มฟื้นตัว แต่ตลาดจีนกลับซบเซา และเริ่มมีสัญญาณชัดเจนว่าจะเกิดปัญหาใหญ่โตในระยะเวลาอันใกล้นี้ ยุโรปเองก็ยังซึมลึก ไม่มีแรงซื้อ ส่วนตะวันออกกลางยังมีภัยเสี่ยงในเรื่องของนิวเคลียร์ และภาวะตลาดน้ำมันก็ยังไม่นิ่งอีก ด้วยปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ทำให้ภาวะตลาดหุ้นทั่วโลกเกิดความผันผวน กำหนดทิศทางไม่ได้ เพราะปัจจัยต่างๆนั้นคานกันเองจนกูรูไม่สามารถคาดการณ์ได้
ในเมื่อตลาดมีความซับซ้อนไม่สามารถคาดเดาทิศทาง รวมถึงมีความชะงักงันในแง่กันลงทุน ทำให้กูรูหุ้นหลายสำนักถึงกับเอ่ยปากเตือนนักลงทุนว่า ณ เวลานี้ใครมีเงินสด ให้ถือเงินสด เพราะแม้แต่หุ้นบลูชิพอย่าง PTT SCC หรือหุ้นกลุ่มแบงค์ที่นักลงทุนสาย VI ถืออยู่ ยังตกกราวรูด ใครเผลอตอนตกรอบแรกมีเงินสดอยู่ก็ช้อนตั้งใจซื้อถูก ตกรอบสองก็ยังพอเหลือมีช้อน แต่ไม่มีใครรู้ว่ามีตกรอบสาม สี่ และห้าด้วย ขนาดสาย VI ยังติดดอย แล้วประสาอะไรกับสายเทคนิค ที่รู้เท่าที่กูรูบอกมา ซื้อหุ้นแล้วติดดอย ตั้งแต่ตกรอบแรกเมื่อปลายปี 57 นู่นแล้ว ดอยนั้นสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงระดับน่าตกใจมาก ๆ ตอนปลายปี 58 และที่สำคัญ ยังหาทางลงไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
การมองวิกฤติเป็นโอกาสนั้นแม้จะยาก แต่ก็สามารถทำได้ เพียงเปลี่ยนมุมมองในการลงทุน ด้วยความรู้และเงินทุนที่อาจจะยังพอมีเหลืออยู่ การซื้อหุ้น JAS ราคา 8 บาทเพื่อหวังกำไรจากปันผลบาทกว่า ๆ เมื่อปี 57 และติดดอยต่อเนื่องยาวนาน แม้หลังประมูล 4G เสร็จสิ้นก็ยังตกต่อเนื่องอย่างน่าใจหายเหลือเพียงสามบาทนิด ๆ นั้น เป็นตัวอย่างดอยที่มีคนติดอยู่มากมาย หลายคนได้แต่อยู่นิ่ง ๆ ปล่อย port ให้แดงไปเสียอย่างนั้น
บางคนทิ้งถึงขนาดลืม password เข้าเทรดกันเลยก็มีแต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องและไม่ใช่สิ่งสุดท้ายที่ควรทำ ควรติดตามการลงทุน เฝ้าดูอย่างต่อเนื่อง เพื่อแก้ไขพอร์ตได้ทันท่วงที การปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ดูเลยเปรียบเสมือนปล่อยเงินทิ้งไป ติดดอยแล้วปล่อยไว้รอมันขึ้นมาที่เดิมแล้วค่อยขาย ยึดคติไม่ขายไม่ขาดทุน ซึ่งความคิดนี้ขอให้เลิกคิดเสีย การไม่ขายมีแต่จะยิ่งขาดทุน ให้ศึกษาจากดอยเด่น ๆ อย่างเช่น ดอย DTAC (โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่นฯ) ที่หลายคนติดดอยที่หลักร้อย ปัจจุบันราคาอยู่ที่ราว 30 กว่าบาท หรือ PTTEP (ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม) ที่ราคาปรับตัวลงจากหลักร้อยมาอยู่ที่ 50 กลางๆ
หลายคนปล่อยทิ้งไว้เพื่อรอให้ตลาด recover ขึ้นมาใหม่ ดังเช่น SCI ที่เมื่อช่วงปลายปี 58 นี้ บริษัทลูกของ SCI ประสบภาวะการเงินรุนแรงที่อังกฤษ ราคาหุ้นตกจากไม่ถึง 40 สตางค์ เหลือเพียง 11 สตางค์เท่านั้น นี่เป็นตัวอย่างของการไม่ติดตามการลงทุน เพราะเมือตอนที่หุ้นเหลือ 40 สตางค์ ถ้าศึกษาความเป็นไปได้ของธุรกิจ ภาพรวมของอุตสาหกรรมเหล็ก ลักษณะบริษัทและการดำเนินของบริษัทแล้ว จะรู้เลยว่าไม่มีทางจะกลับมายืนที่จุดเดิมได้ในระยะเวลาอันใกล้ ควร cut loss เสีย เพราะนอกจากจะเป็นการหยุดการขาดทุนแล้ว ยังสามารถนำเอาเงินส่วนที่เหลือไปลงทุนในหุ้นตัวอื่นแทนได้
ถ้าใจแข็งพอเหล่ากูรูแนะนำให้ cut loss ทันทีที่การลงทุนผิดทิศทาง อย่าปล่อยให้ขาดทุนยิ่งขึ้น หรือ Let loss run ให้ตัดขาดทุนทันที การปรับพอร์ตการลงทุนให้เป็นไปในทิศทางที่ถูกต้องจะช่วยเสริมความมั่นใจ และสร้างกำลังใจให้นักลงทุน ดอยเดิมทดไว้ก่อน ให้เผชิญหน้ากับตัวเลขปัจจุบัน การเล่นหุ้นแบบคิดวิเคราะห์ และตัดสินใจด้วยตัวเอง จะสร้างประสบการณ์ที่ถูกต้องในการลงทุน ไม่ว่าจะกำไรหรือขาดทุน การตัดสินใจด้วยตัวคุณเองจะทำให้คุณจดจำได้ว่าในภาวะนั้น แนวคิดหรือการตัดสินใจเช่นใดถูกต้อง
ในหลายๆครั้ง คุณจะรู้ว่าโบรกเกอร์ช่วยอะไรคุณไม่ได้ อย่าเอาอนาคตทางการลงทุนไปผูกติดกับคนอื่น หมั่นติดตาม และปรับพอร์ตการลงทุน ข้อสำคัญคืออย่าโลภ อย่ากลัวขายหมู จงจำไว้ว่าขายหมูยังดีกว่าติดดอยเป็นไหน ๆ
อ่านหมวดอื่น : Cut Loss , หุ้นติดดอย , หุ้นขาลง