ภาพรวมตลาดหุ้นไทยในต้นปี 2559 นี้ ยังมีผลประเมินจากบริษัททางการเงินและโบรกเกอร์ต่าง ๆ ออกมาให้ทัศนะที่ค่อนข้างไปในแนวทางเดียวกันเรื่องการชะลอตัวลงของ ดัชนีตลาดหุ้นไทย ก.พ.59 จะยังคงได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยจากธนาคารกลางของสหรัฐอเมริกาหรือเฟดอยู่ที่ 0.25% ตลาดจึงจะมีการตอบสนองในแง่ลบไปประมาณ 2-3 เดือน เพราะต่อจากนี้เฟดก็มีแนวโน้มว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพิ่มอีกครั้งในเดือนมีนาคม โดยที่ก่อนหน้าจะมีการปรับขึ้นอีกครั้งนี้ แรงกดดันและความกังวลภายในตลาดหุ้นไทยจะยังมีอยู่สูง แต่เมื่อหลังจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยไปแล้วก็จะสามารถกลับมาสู่สภาวะปกติและคลายความกังวลลงได้ และในช่วงไตรมาส 1/2559 อาจจะแกว่งตัวอยู่ในกรอบ 1,240-1,400 จุด พร้อมทั้งชี้ว่าเศรษฐกิจไทยน่าจะมีความชัดเจนเรื่องของการฟื้นตัวประมาณในช่วงครึ่งปีหลังอีกด้วย
นอกจากนี้ก็ยังมีปัจจัยเรื่องของค่าเงินหยวนที่กำลังอ่อนค่าลง ซึ่งเป็นผลมาจากที่เศรษฐกิจของประเทศจีนกำลังชะลอตัวลงส่งผลให้กดดันเอาค่าเงินภายในเอเชียด้วยกันอ่อนค่าตามไปด้วย จึงจะเห็นได้ชัดว่าตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาสแรกของปียังมีความเสี่ยงอย่างมากจากปัจจัยภายนอก และยังเป็นช่วงขาลงที่เหล่านักเล่นหุ้นยังคงต้องระวังการร่วงในแต่ละวันลง ทั้งนี้ในช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนกุมภาพันธ์นั้น ตลาดหุ้นไทยจะยังมีจุดแนวรับที่ 1,150-1,200 จุด และเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแนวต้านที่ 1,450-1,460 จุด โดยจะเติบโตขึ้นเพียง 14% หรือจะอยู่ที่ 93 บาทต่อหุ้นจากปีที่แล้วที่ 82 บาทต่อหุ้น ซึ่งแนวโน้มเหล่านี้ยังพ่วงมากับปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศและการส่งออกที่ก็มีผลต่อเนื่องมาจากการชะลอตัวจากเศรษฐกิจของจีน ทำให้ค่าเงินในประเทศเริ่มมีปัญหา ซึ่งภาครัฐก็ได้มีการอัดฉีดเงินในส่วนต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้นเพื่อช่วยในภาคของการส่งออก
แต่ภาครัฐเองก็ยังปิดปัญหาเรื่องราคายางที่ตกต่ำภายในประเทศยังไม่ค่อยได้สักเท่าไหร่ จึงยังคงทำให้ตลาดหลักทรัพย์ไทยเกิดการผันผวนสูงและมีการได้ผลตอบแทนของกองทุนหุ้นในทุกกลุ่มหลักทรัพย์ที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้ในระดับต่ำเมื่อเทียบไปเมื่อ 10 ปีก่อนที่นักลงทุนยังได้ผลตอบแทนจากทางตลาดหุ้นเป็นหลักและได้ผลตอบแทนจากดอกเบี้ยอยู่ที่ 4-5% รวมไปถึงหลักทรัพย์จากกองทุนต่าง ๆ อยู่ที่ 8-9% เรียกได้ว่าช่วงนี้การลงทุนยังอยู่ในระยะที่เสี่ยงเป็นอย่างมาก จึงเหมาะกับการเล่นหุ้นในตัวที่ต้องลงทุนในผลกำไรที่ระยะยาวมากกว่าการลงทุนในระยะสั้น
อีกหนึ่งตัวแปรที่สำคัญไม่แพ้กันนั่นคือราคาน้ำมันที่ต้นปียังเป็นในขาลงที่มีโอกาสต่ำลงกว่านี้ หลังจากที่น้ำมันยังมีเหลืออยู่ในตลาดค่อนข้างเยอะ ทำให้เกิดวิกฤตที่คนขายต้องระบายเอาเอาน้ำมันออกจากการลดราคา ทำให้หุ้นในกลุ่มพลังงาน โดยเฉพาะในกลุ่มน้ำมันยังคงเสี่ยงต่อไปและอาจจะทำให้เจ็บตัวได้
แต่หุ้นที่น่าสนใจกลับเป็นหุ้นในกลุ่มท่องเที่ยวและในกลุ่มที่ได้อานิสงส์จากการเติบโตของการท่องเที่ยวคือกลุ่มพวกสายการบิน กลุ่มโรงแรมและกลุ่มโรงพยาบาล ที่เหล่านักลงทุนแนะนำนักลงทุนให้ซื้อเกร็งกำไรไว้ในระยะยาว นอกจากนี้ยังมีกลุ่มได้รับผลที่ดีจากการที่ทางภาครัฐกระตุ้นเศรษฐกิจคือกลุ่มค้าปลีกและกลุ่มผู้รับเหมาจากธุรกิจด้านวัสดุก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ และควรชะลอการลงทุนในกลุ่มของพลังงานทั้งหมดที่ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ผันผวน และการปรับเปลี่ยนโครงสร้างพลังงานที่ได้รับผลกระทบจากแหล่งธรรมชาติพลังงานใหม่ ส่วนในหุ้นกลุ่มธุรกิจสื่อสารที่ยังจะคงชะลอตัวลงไปอย่างมาก ซึ่งจะต้องจับตาดูการแข่งขันเรื่องของการตลาด 4g ที่คาดว่าน่าจะมีความรุนแรงเป็นอย่างมากในต้นปีนี้ อาจจะต้องมีการใช้งบประมาณในการลงทุนค่อนข้างสูงซึ่งจะทำให้เกิดผลกระทบกับบริษัทในกลุ่มสื่อสารอีกด้วย
แต่ทั้งนี้แนวโน้มในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจโลกอาจจะมีการฟื้นตัวขึ้นอย่างช้า ๆ ส่วนปัจจัยเศรษฐกิจภายในประเทศนี้คาดว่าจะมีการฟื้นตัวที่ดีขึ้นในครึ่งปีหลัง จากการที่สหรัฐอเมริกามีโครงการในการเร่งปรับโครงสร้างพื้นฐานซึ่งจะสามารถช่วยสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจไทย และภาครัฐเองก็กำลังจะมีการแก้ปัญหาเรื่องภัยแล้งทำให้ภัยแล้งในปีนี้ดีขึ้น และจะทำให้มีประโยชน์ต่อตลาดหุ้นไทยในแง่ที่อาจจะกลับมายืนเหนือกว่า 1,400 จุด ซึ่งถือว่าเป็นการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วที่สามารถจะส่งผลในทางบวก พร้อมทั้งการคาดการณ์ว่าตลาดในช่วงปีหลังจะเริ่มมีการขยับตัวขึ้นที่สามารถสังเกตได้จากกลุ่มหุ้นธนาคาร
ส่วนในกลุ่มของหุ้นอสังหาริมทรัพย์จะได้รับประโยชน์จากการที่ภาครัฐเริ่มมีการสร้างและประมูลงานต่าง ๆ ที่มากขึ้นเพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ และความคาดหวังในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของจีนมีมาตรการผ่อนคลายทางการเงินทำได้ดีหรือไม่ ซึ่งถ้าสามารถทำได้แล้วกลับมาฟื้นตัว ไทยก็จะได้รับประโยชน์กลับมาอย่างเต็ม ๆ จึงยังคงต้องติดตามผลกันต่อไป
แต่โดยสรุปคือตลาดหุ้นในช่วงต้นปีนี้จะยังคงไม่คึกคักและยังเสี่ยงต่อการติดลบในช่วงขาลง ผู้ลงทุนจึงยังควรต้องระวังอย่างมาก พร้อมทั้งพยายามเล่นหุ้นในระยะยาวไว้ก่อนจนกว่าจะเข้าสู่ไตรมาสที่หรือในครึ่งปีหลังที่มีแนวโน้มฟื้นตัวที่ดีกว่า พร้อมทั้งรอรับข่าวสารของการฟื้นตัวในหุ้นอีกหลาย ๆ ตัว เพื่อได้ไม่พลาดในการลงทุนครั้งต่อไปอีกด้วย