ตลอด 2 ปี ที่ผ่านมา (2557-2558) ตลาดหุ้นทั่วโลกมีความผันผวนอย่างมาก เช่นเดียวกับ ตลาดหุ้นไทย ที่ผันผวนรุนแรง กดผลตอบแทนในปี 2559 เป็นเหตุให้นักลงทุนไทยกระจายความเสี่ยงของพอร์ตจากเล่นหุ้นไทย ไปลงทุนในกองทุนหุ้นต่างประเทศ หรือหันหน้าหาสินทรัพย์ประเภทอื่น รวมถึงสินค้าทรัพย์ปลอดความเสี่ยงอย่างการลงทุนในทองคำ หลังจากผ่านไตรมาสแรก 2559 ตลาดหุ้นไทยยังคงอยู่ในสถานะผันผวนต่อไป การลงทุนในทุกกลุ่มหลักทรัพย์มีโอกาสสร้างผลตอบแทนในระดับต่ำ เมื่อเปรียบเทียบกับช่วง 10 ปีก่อน สาเหตุเกิดจากผลตอบแทนสินทรัพย์หลายประเภทปรับตัวลดลง รวมทั้งดอกเบี้ยเงินฝากเหลือ 1%
จุดที่น่าจับตามอง คือ ธนาคารกลางอเมริกา (เฟด) ส่งสัญญาณชะลอการปรับขึ้นดอกเบี้ย เป็นไปได้ชัดเจนว่ายังไม่มีการขึ้นดอกเบี้ย 0.25% อีกรอบก่อนเดือนมิถุนายน
ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลก การปรับขึ้นดอกเบี้ยนั้นเป็นสาเหตุที่จะส่งผลให้ ตลาดหุ้นไทย ผันผวน เมื่อเฟดผ่อนปรนนโยบายทางการเงินดังนี้ ทำให้ตลาดหุ้นไทยหายใจได้โล่งอกไปเปลาะหนึ่ง แรงซื้อจากนักลงทุนต่างประเทศยังคงหลั่งไหลเข้ามาต่อเนื่อง มีกระแสเงินไหลเข้าในตลาดทุนไทยและทั่วโลก จบไตรมาสแรกของปี 2559 กลุ่มธนาคารจะเป็น กลุ่มแรกที่ประกาศผลประกอบการไตรมาสแรกของปี 2559 ซึ่งจะบ่งชี้ทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจของประเทศไทย ขณะที่รัฐบาลพยายามใช้มาตรการกระตุ้นหลายวิธี แต่อาจจะไม่ได้ผลมากนัก เนื่องจากการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ที่ยังล่าช้าในช่วงที่ผ่านมา รวมถึงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมในช่วงครึ่งแรกของปี 2559 ยังล่าช้ากว่าแผน โครงการดังกล่าวยังต้องผ่านกระบวนการและขั้นตอนอีกมาก รวมถึงการศึกษาผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม เม็ดเงินยังไปไม่ถึงกลุ่มก่อสร้าง กลุ่มวัสดุก่อสร้างและกลุ่มที่เกี่ยวข้อง
ภาวะเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันฟื้นตัวค่อนข้างล่าช้าและเปราะบาง แต่ยังมีการคาดหวังว่า การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งแรกของปี 2559 และส่งผลเกิด ปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นด้วย หลังจากเมื่อเดือนมกราคมนั้นตลาดหุ้นไทยตกลงไปแตะ 1,220 จุด เปรียบเทียบกับ เดือนธันวาคมของปี 2558 ดัชนีตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ 1,288 จุด แต่เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยดีดกลับไป ปิดที่ 1,332 จุด นักวิเคราะห์หลายรายมองว่าตลาดหุ้นไทยน่าจะแตะจุดต่ำสุดไปแล้ว นอกจากนี้ยังมีปัจจัยบวกอื่นๆ นอกเหนือจากเฟดชะลอการปรับขึ้นดอกเบี้ยและตลาดยุโรปเริ่มกระเตื้องขึ้น
หลังปิดไตรมาสแรก หุ้นไทยหลายบริษัทได้รับการปันผล หรือขึ้นเครื่องหมาย XD ไปแล้ว แต่หุ้นชั้นดี หรือหุ้นบลูชิบ (Blue-Chip) ของบริษัทใหญ่ตกต่ำลงมา ซึ่งส่งผลต่อภาพรวมของตลาดหุ้นไทยมีหุ้น บริษัทใหญ่ขึ้นเครื่องหมาย XD ไปหลายบริษัท ล้วนเปอร์เซ็นต์ปันผลที่ไม่สูงมากนัก ได้แก่ PTT DTAC LPN และ BCP สะท้อนให้เห็นว่าแม้แต่บริษัทใหญ่ก็ได้รับผลกระทบจากสภาพเศรษฐกิจไม่ต่างกัน ช่วงต้นปีที่ผ่านมาหุ้นเด่นที่นักลงทุนเฝ้าจับตามอง คือ กลุ่มสื่อสารที่เข้าประมูล 4G ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์ดัชนีหุ้นไทยช่วงสัปดาห์แรกในเดือนเมษายนว่ามีแนวรับที่ 1,390 และ1,371 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,410 และ 1,420 จุด ตามลำดับ โดยจะต้องติดตามปัจจัยเรื่องเฟดจะเผยถึงจังหวะการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐและเศรษฐกิจโลกที่สำคัญ
ช่วงต้นปีนี้หุ้นกลุ่มพลังงานชนะตลาดอย่างโดดเด่น หลังจากปีที่ผ่านมาหุ้นกลุ่มพลังงานถูกกดดันหนักตามทิศทางราคาน้ำมัน เป็นที่จับตามองหุ้นกลุ่มพลังงานจะฟื้นตัวได้มากน้อยแค่ไหนตลอดปีนี้ ขณะที่นักวิเคราะห์หลายฝ่ายแตกเสียงกันในเรื่องนี้ ส่วนใหญ่คาดว่ากลุ่มพลังงานไปได้ไม่ไกล ช่วงปลายปีที่ผ่านมาหุ้นพลังงานและปิโตรเคมีเจอปัญหาใหญ่หลังราคาน้ำมันตลาดโลกร่วงหนัก เพราะน้ำมันดิบล้นตลาด ส่งผลให้ขาดทุนสต็อกน้ำมันกันถ้วนหน้า โดยกลุ่ม ปตท. และบริษัทในเครือจะไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก ตามแนวโน้มของราคาน้ำมันดิบโลก ที่อยู่ในภาวะทรงกับทรุดเป็นหลัก ทำให้นักวิเคราะห์หลายสำนักชี้ว่า นอกจากน้ำมันดิบโลกในปี 2559 ยังคงมีปริมาณ สูงล้นตลาดไปจนถึงสิ้นปีหน้าแล้ว ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากผู้ผลิตทั้งในและนอกกลุ่มโอเปกซึ่งไม่มีทีท่าว่าจะลดกำลังผลิต อิหร่านยืนกรานที่จะไม่ปรับลดกำลังการผลิต และอิรักไปจับมือซาอุดิอาระเบียเดินหน้าผลิตน้ำมันดิบต่อเนื่อง เพื่อรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดจากผู้ผลิตนอกกลุ่มโอเปก ถือเป็นสัญญาณที่ไม่ดีนัก
น้ำหนักของหุ้นกลุ่มพลังงานสามารถชี้นำทิศทางตลาดหุ้นไทย จึงต้องจับตาดูกันว่าราคาน้ำมันในปี 2559 นั้นจะปรับลดลงหรือเพิ่มขึ้น ในขณะนี้น้ำมันดิบยังคงล้นตลาดและราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับลดลงหนักส่งผลให้บรรดานักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าหุ้นกลุ่มพลังงานของไทยอาจพบปัญหาการขาดทุนสต็อกน้ำมันเช่นเดียวกับปีที่ผ่านมา ด้านบริษัท หลักทรัพย์เอเซีย พลัส วิเคราะห์ว่าในเดือนเมษายน โดยปกติแล้วตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนเป็นบวก เฉลี่ยราว 3.5%
ดัชนีกลุ่มที่จะชนะตลาดอย่างโดดเด่น หลังปิดไตรมาสแรก คือ กลุ่มโรงพยาบาล ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยกว่า 6% ตามมาด้วยหุ้นกลุ่มปิโตรเคมี ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยเกินกว่า 6% สำหรับหุ้นกลุ่มพลังงาน ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 5% และหุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้าให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 3.93% กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง เช่น ITD (บริษัท อิตาเลียนไทย) ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 7.42% ตามด้วย CK (บริษัท ช.การช่าง) ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 3.57% และหุ้นในกลุ่มอื่น ๆ อาทิ TVO (บริษัท น้ำมันพืชไทย) ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 4.38% สำหรับกลุ่มวัสดุก่อสร้างน่าจะฟื้นตัวเล็กน้อย ในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ เพราะแรงขับเคลื่อนจากโครงการลงทุนภาครัฐที่ทยอยออกมาตั้งแต่ช่วงไตรมาส 2
ภาพรวมของตลาดหุ้นไทยต่อจากนี้ยังมีแนวโน้มของความผันผวนอย่างต่อเนื่อง เศรษฐกิจไทยยังคงมีความเสี่ยงจากการส่งออกที่ชะลอตัวต่อเนื่อง นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าหุ้นเด่นไตรมาส 2 ได้แก่ APCO, CRANE, GCAP, KTB, MJD, SAMART, TMB, TR, TU และหุ้นที่ถือไว้ได้นานหลายเดือน ได้แก่ KTB, SAMART, TMB, TR และ TU ขณะที่นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจะส่งผลดีต่อหุ้นในกลุ่มการเงิน เช่น GL โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มการท่องเที่ยวยังคงเติบโตได้ดี ได้แก่ CENTEL (โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด), ERW (บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป) และ MINT (บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล) และกลุ่มขนส่ง เช่น AOT (บริษัท ท่าอากาศยานไทย) ซึ่งถือเป็นหุ้นเด่นสุดในกลุ่มขนส่ง, AAV (บมจ.เอเชีย เอวิเอชั่น) และ BA (บริษัท การบินกรุงเทพ) ในขณะเดียวกัน ก็ประเมินว่าราคาหุ้นจะยังคงมีโอกาสปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นได้ หุ้นไทยยังมีโอกาสในการลงทุน อย่างไรก็ดี นักลงทุนควรระมัดระวังในการซื้อขาย เนื่องจากขณะนี้ ราคาหุ้นในกลุ่มพลังงานและตลาดหุ้นไทยโดยรวมอาจผันผวน โดยจะเริ่มเห็นสัญญาณของการเก็งกำไร ซึ่งถ้าเห็นแล้วต้องเริ่มระวังตัวทันที