ตลาดหุ้นมีขึ้นมีลง บางรอบเป็นขาขึ้น 5-8 ปี บางรอบหุ้นเอาแต่ลง ลงๆๆๆ แล้วก็ลง ลงไปเป็น 10 ปีก็มี บางรอบหุ้นก็ไม่ไปไหน แกว่งตัวอยู่ในกรอบแคบๆ คนหวังจะทำกำไรก็ทำไม่ค่อยได้ เพราะหุ้นไม่ค่อยวิ่งไปไหน อยู่นิ่งๆ หรือเคลื่อนที่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ทำให้คนเล่นคิดว่า ตลาดแบบนี้ ออกมาหาอะไรทำข้างนอกดีกว่า
มีเศรษฐีกลุ่มหนึ่งที่อาศัยช่วงจังหวะที่ตลาดหุ้นไม่ค่อยน่าสนใจ หรือเห็นว่าหุ้นขึ้นมามากมายแล้ว ครั้นจะเข้าไปซื้อตอนนี้ ความเสี่ยงค่อนข้างสูง คือ โอกาสกำไรนั้นก็พอมี แต่ไม่น่าเยอะเพราะหุ้นขึ้นมามากแล้ว โอกาสขาดทุนก็มี และมีมากเสียด้วย หุ้นที่ขึ้นมาเยอะ เวลาลงก็จะลงค่อนข้างลึก เซียนหุ้นจึงไม่อยากเสี่ยงเรียกว่าได้ไม่คุ้มเสีย เศรษฐีเหล่านี้ ก็โยกเงินจากตลาดหุ้นไปหาอะไรใหม่ๆทำ หรือหาอะไรใหม่ๆเพื่อลงทุน ซึ่งแนวคิดและวิธีการนั้นน่าทึ่งและน่าสนใจมาก
อภิมหาเศรษฐีซึ่งเป็นเซียนหุ้นท่านหนึ่ง ให้แนวคิดว่า ยามที่ตลาดหุ้นไม่เป็นใจ เขาและผองเพื่อนได้ไปเฟ้นหาบริษัทใหม่ๆ ที่น่าสนใจ มีพื้นฐานทางธุรกิจที่ดีเยี่ยม แต่เติบโตไม่เต็มศักยภาพ เพราะมีเม็ดเงินลงทุนที่จำกัด จึงได้ทำกันแต่ในครอบครัว หรือทำกันตามหัวเมืองเล็กๆ เมื่อค้นพบเพชรเม็ดงามแล้ว เซียนหุ้นท่านนี้ก็จะขอเข้าไปเป็นผู้ร่วมทุน หรือเรียกว่าไปเป็น Venture Capitalist เมื่อทำแบบนี้แล้ว เขาจะได้อะไร เป็นคำถามที่ใครๆก็อยากรู้ว่า ระดับอภิมหาเศรษฐีเซียนหุ้นพันล้าน จะก้าวย่างเดินอย่างไร ต้องมีอะไรให้ติดตามและเรียนรู้แน่นอน
เซียนหุ้นอธิบายต่อง่ายๆว่า สมมุติบริษัท XYZ เป็นบริษัทที่ดี ทำกำไรได้ปีละ 100 ล้าน กลุ่มของเซียนหุ้นก็จะเอาเงินใส่เข้าไปอีก 300 ล้าน โดยถือหุ้นคนละครึ่งกับเจ้าของเดิม เมื่อเงินทุนของบริษัทเพิ่มขึ้น ความคล่องตัวทางธุรกิจและความน่าเชื่อถือก็จะเพิ่มขึ้น และเป็นผลดีกับบริษัทดังนี้
ข้อแรก เจ้าของสามารถนำเงินไปปลดภาระเดิมที่มีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นด้านใดก็ตาม เมื่อปลดภาระได้ เขาก็จะมีแรงกายแรงใจบริหารจัดการบริษัทอย่างเต็มที่ ผลงานที่ดีก็จะตามมา
ข้อสอง ด้วยเงินทุนที่เพิ่มมากขึ้น 4 – 5 เท่า ทำให้สามารถขยายขีดความสามารถของบริษัทเพิ่มเป็น 10 เท่า
ข้อสามเมื่องานเพิ่ม เงินก็ต้องเพิ่ม แต่เดิมทำกำไรได้ 100 ล้านบาทต่อปี จากนี้ไปกำไรก็จะเพิ่มขึ้นเป็น 400 ล้าน 500 ล้าน และเพิ่มขึ้นอีกในปีต่อๆไป
ข้อสี่เป้าหมายของเจ้าของบริษัทและเจ้าของเงินทุนรายใหญ่มีใจตรงกันคือ จะเอาบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์หรือเข้าในตลาดหุ้นเพื่อระดมทุน ในอีก 3 – 5 ปี ข้างหน้า
ข้อสุดท้าย ผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น ถ้าเจ้าของเดิมสามารถทำกำไรไปได้เรื่อยๆจนถึงวันที่เข้าตลาดหลักทรัพย์ได้ ถึงวันนั้น ถ้าทำกำไรได้ 1000 ล้านบาท เอาเข้าตลาดหลักทรัพย์ที่ P/E 15 เท่า บริษัทนี้จะมีมูลค่า 15000 ล้านบาท หนึ่งหมื่นห้าพันล้านบาท อ่านไม่ผิดแน่ๆ โดยทั้งหมดนี้มีเงื่อนไขว่า บริษัทที่กล่าวถึงนี้จะต้องดีและมีอนาคตจริงๆ
จะเห็นได้ว่า คนที่มีทั้งเงินและมีแนวความคิดที่ล้ำลึกก้าวไกล ทำอะไรก็สามารถต่อยอดไปได้เสมอ ดังตัวอย่างของการค้นหาบริษัทที่ดี และมีเป้าหมายที่จะเอาเข้าไประดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ ไม่ใช่ว่าใครๆก็จะทำได้ ที่สำคัญที่สุดในงานนี้คือ เจ้าของเงินทุนรายใหญ่ ต้องมีสายตาในการเลือกบริษัทที่เฉียบแหลม จึงจะสำเร็จดังใจหวังได้ ส่วนประชาชนคนอ่านธรรมดาๆอย่างเราอย่างท่านทั้งหลาย ที่ไม่ได้มีเงินเป็นร้อยล้าน พันล้าน ก็ได้แต่ฟังและทึ่งในไอเดียอันแสนบรรเจิด แต่อย่างน้อยเรื่องราวนี้ก็เป็นแรงบันดาลใจสำหรับคนเงินน้อย ว่า ยามที่ตลาดหุ้นไม่เป็นใจ ก็อย่าได้เข้าไปเสี่ยง คิดดูสิ ระดับเซียนหุ้นพันล้านถ้าคิดว่าไม่คุ้ม เขาก็ยังไม่เข้าไปเล่นเลย แม้เราจะไม่มีปัญญาเอาเงินไปต่อยอดหรือทำอะไรที่ไหน ก็ให้เก็บเงินไว้กับตัวก็ยังดี รอจังหวะดีๆ ที่ตลาดเปิดโอกาสให้ตอนน่าซื้อน่าลงทุน แล้วจึงเข้าไปลงทุนก็ยังไม่สาย เมื่อตลาดหุ้นยังไม่น่าสนใจ เก็บเงินไว้ ในระหว่างนี้อาจศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม เพราะเรื่องของเงินและการลงทุนในโลกนี้มีให้เราเรียนรู้ไม่สิ้นสุด