ถ้าจะพูดถึงนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงสุดในระดับโลก โดยเฉพาะการลงทุนในหุ้น ผมเชื่อแน่ว่าจะต้องมีชื่อของ ปีเตอร์ ลินช์ ติดอับดับอยู่อย่างแน่นอน
ปีเตอร์ ลินช์ นักลงทุนผู้ยิ่งใหญ่ชาวอเมริกัน ในอดีตเป็นผู้บริหารกองทุนรวมที่มีชื่อว่า “ไฟเดลิตี้ แมกเจลลัน” (Fidelity Magellan) ซึ่งเป็นกองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้นที่ใหญ่ที่สุดกองหนึ่งของอเมริกา คุณรู้หรือไม่ว่าหากคุณลงทุนในกองทุนนี้ตั้งแต่ปี 2520 จนถึงปี 2533 ซึ่งเป็นปีที่ปีเตอร์ ลินช์เกษียณตัวเอง คุณจะได้ผลตอบแทนจากการลงทุนสูงถึง 28 เท่า (แบบทบต้น) เลยทีเดียว (ลงทุน 13 ปี ได้ผลตอบแทน 28 เท่า สุดยอดมากๆ นะครับ!) นอกจากนี้ปีเตอร์ ลิชน์ ยังได้เขียนหลักการหรือวิธีการลงทุนของของตัวเองในหนังสือชื่อ “One Up on Wall Street” (มีแปลขายในไทยแล้ว โดยใช้ชื่อหนังสือว่า “เหนือกว่าวอลล์สตรีท”) ซึ่งติดอันดับหนังสือขายดีในอเมริกาอีกด้วย รวมถึงยังได้เขียนหนังสืออีก 2 เล่ม ชื่อว่า “Beating the Street” และ “Learn to Earn” ซึ่งก็ติดอันดับหนังสือขายดีอีกเช่นกัน
สไตล์การลงทุนของปีเตอร์ ลินช์นั้น จะเป็นการใช้หลักความเข้าใจของสามัญชนค่อนข้างมาก โดยจะได้หุ้นดีๆ จากการสังเกตสินค้าและบริการที่อยู่รอบตัว โดยเฉพาะการสังเกตจากการไปเดินเล่นยังห้างสรรพสินค้า ปีเตอร์ ลินช์บอกว่าหุ้นนั้นมีนิสัยเฉพาะตัวของมัน ดังนั้นก่อนที่เราจะลงทุน เราจำเป็นต้องรู้จักนิสัยของมันก่อน โดยปีเตอร์ ลินช์ได้แบ่งนิสัยของหุ้นออกเป็น 6 ประเภท ดังนี้
- หุ้นโตช้า (Slow Growers) : หุ้นประเภทนี้มักเป็นของบริษัทขนาดใหญ่ และเป็นธุรกิจที่มีความเก่าแก่ โดยมักจะอยู่ในอุตสาหกรรมที่ใกล้ถึงจุดอิ่มตัว และไม่รู้จะขยายธุรกิจยังไงต่อ อัตราการเติบโตของกำไรจะสูงกว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเล็กน้อย ประมาณ 2-4% ต่อปี เป็นหุ้นที่ราคาไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นมากนัก แต่จะสามารถโตไปได้เรื่อยๆ และจ่ายปันผลได้เรื่อยๆ อย่างสม่ำเสมอ
- หุ้นแข็งแกร่งหรือหุ้นยักษ์ใหญ่ (Stalwarts) : หุ้นประเภทนี้มักเป็นหุ้นของบริษัทระดับพันล้าน ซึ่งถ้าซื้อในจังหวะที่ดี จะสามารถทำกำไรให้แก่นักลงทุนได้มากพอสมควร เป็นหุ้นที่มีอัตราการเติบโตประมาณ 10-20% ต่อปี ซึ่งในกรณีที่เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย การลงทุนในหุ้นประเภทนี้จะช่วยให้ป้องกันความเสี่ยงจากการขาดทุนได้ดี เนื่องจากเป็นหุ้นที่มีความแข็งแกร่งกว่าหุ้นประเภทอื่นๆ จึงสามารถอยู่รอดได้แม้เกิดภาวะวิกฤต ดังนั้นจึงเหมาะสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้น้อย แต่ข้อเสียคือ ผลประกอบการไม่ค่อยน่าเร้าใจ หากต้องการลงทุนในหุ้นประเภทนี้ควรทำตัวเป็นนักลงทุนระยะยาว คือสามารถถือหุ้นไปเรื่อยๆ (ฝรั่งจะเรียกหุ้นประเภทนี้ว่า “หุ้นบลูชิพ) ซึ่งโดยมากมักเป็นหุ้นกลุ่มกิจการด้านสาธารณูปโภค พลังงาน อุตสาหกรรมอาหารและยา ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิต
- หุ้นโตเร็ว (Fast Growers) : หุ้นประเภทนี้มักเป็นหุ้นของบริษัทขนาดเล็กที่เกิดใหม่ หรือขนาดกลาง การขยายตัวจึงสามารถทำได้เร็ว กิจการมีอนาคตดี โตเร็วปีละประมาณ 20-25% (อย่างต่อเนื่องหลายปีติดต่อกัน) ซึ่งหุ้นโตเร็วเป็นหุ้นประเภทที่ปีเตอร์ ลินช์ชอบมากที่สุด เนื่องจากเป็นหุ้นที่มีโอกาสทำกำไรได้อย่างเป็นกอบเป็นกำที่สุด โดยเค้าได้ให้ข้อสังเกตด้วยว่า หุ้นโตเร็วไม่จำเป็นต้องอยู่ในอุตสาหกรรมที่โตเร็วเสมอไป ที่สำคัญหุ้นที่มักจะสามารถทำกำไรได้มาก มักจะเป็นหุ้นโตเร็วที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่โตช้า อย่างไรก็ตามหุ้นโตเร็วเป็นหุ้นที่มีความเสี่ยง และมีโอกาสผิดพลาดจากการลงทุนได้ง่ายด้วยเช่นกัน ดังนั้นผู้ลงทุนจึงจำเป็นต้องศึกษาหาข้อมูลและตรวจสอบการดำเนินงานของบริษัทอย่างใกล้ชิด
- หุ้นวัฏจักร (Cyclicals) : เป็นหุ้นที่มีกำไรขึ้นลงตามสภาวะเศรษฐกิจ ช่วงขาขึ้นราคาหุ้นจะวิ่งขึ้นมาก ในทางกลับหันเวลายอดขายตก ราคาหุ้นก็จะดิ่งลงหนักเช่นกัน หุ้นวัฏจักรมักแฝงตัวอยู่ในหุ้นที่แข็งแกร่ง คุณจึงต้องแยกให้ออก และเนื่องจากหุ้นกลุ่มนี้เป็นหุ้นเติบโตและตกต่ำตามเศรษฐกิจและความเป็นไปของอุตสาหกรรม ดังนั้นสิ่งสำคัญในการลงทุนในหุ้นประเภทนี้คือคุณต้องรู้จังหวะเวลาในการลงทุน คุณต้องรู้ว่าหุ้นตัวนี้อยู่ในช่วงเวลาไหนของวัฏจักร ถ้าจับจังหวะเวลาถูก ก็มีโอกาสทำกำไรจากหุ้นประเภทนี้ได้มาก
- หุ้นฟื้นตัว (Turnarounds) : เป็นหุ้นของบริษัทที่เคยประสบปัญหาหนัก มีสภาพย่ำแย่ ใกล้จะล้มละลาย ราคาหุ้นอาจตกลงไปจนราคาแทบจะใกล้ถึงศูนย์เลยทีเดียว แต่อาจมีการปรับโครงสร้างธุรกิจของบริษัท จึงทำให้มีหุ้นสัญญาณฟื้นตัวชัดเจน เป็นหุ้นที่มีโอกาสทำกำไรได้มาก การเลือกซื้อหุ้นประเภทนี้ต้องเลือกบริษัทที่มีเงินสดมากพอที่จะไม่ทำให้ล้มละลายได้ โดยช่วงเวลาที่ควรซื้อหุ้นประเภทนี้ก็คือ ช่วงที่หุ้นเริ่มมีการไต่ราคาขึ้นมาแล้ว
- หุ้นมีทรัพย์สินมาก (Asset Plays) : เป็นหุ้นของบริษัทที่มีทรัพย์สินซ่อนอยู่จำนวนมาก เป็นธุรกิจที่กินบุญเก่า ซึ่งเกิดจากการสะสมทรัพย์สินเอาไว้เยอะในช่วงอดีตที่ผ่านมา ไม่ว่าจะอยู่ในรูปของเงินสด อาคาร หรือที่ดิน เป็นต้น โดยการซื้อหุ้นประเภทนี้ต้องเลือกที่มีทรัพย์สินสุทธิมากกว่าราคาหุ้นที่เราจ่าย การถือหุ้นประเภทนี้ต้องใช้อดทนสูงพอสมควรทีเดียว เพราะต้องถือหุ้นไว้นานพอจนกว่านักลงทุนคนอื่นจะเห็น
การที่คุณเข้าใจว่าคุณกำลังลงทุนในหุ้นประเภทไหน จะทำให้คุณสามารถที่หาทางทำกำไรจากการลงทุนได้มากขึ้น รวมถึงยังทำให้คุณสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงจากการลงทุนของคุณได้มากขึ้นด้วย