เงินปันผล นั้นเป็นค่าตอบแทนที่บริษัทจ่ายให้แก่ผู้ถือหุ้น ซึ่งมักเป็นการกระจายกำไร เมื่อบริษัทได้กำไร บริษัทสามารถนำไปลงทุนต่อ(กำไรสะสม) หรือสามารถจ่ายให้แก่ผู้ถือหุ้นก็ได้ บริษัทอาจสงวนกำไรไว้ส่วนหนึ่ง และจ่ายส่วนที่เหลือเป็น เงินปันผล
การจ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้นอาจจ่ายในรูปของเงินสด หรืออาจจ่ายในรูปของหุ้นได้ หากบริษัทมีแผนนำ เงินปันผล ไปลงทุนต่อ โดยผู้ถือหุ้นจะได้รับเงินปันผลเป็นสัดส่วนต่อการถือหุ้น สำหรับบริษัทร่วมทุน การจ่ายเงินปันผลไม่เป็นค่าใช้จ่าย แต่เป็นการแบ่งรายได้หลังหักภาษีของผู้ถือหุ้น กำไรสะสมแสดงในส่วนของผู้ถือหุ้น (shareholder equity) ในงบดุลของบริษัท เช่นเดียวกับหุ้นทุนที่นำออกจำหน่าย บริษัทมหาชนมักจ่ายเงินปันผลตามกำหนดเวลาตายตัว แต่หากมีการเปลี่ยนแปลงกำหนดเวลาจ่ายเงินปันผลจะเรียกว่า เงินปันผลพิเศษ เพื่อแยกกับเงินปันผลตามเวลาตายตัว ตรงข้ามกับสหกรณ์ ซึ่งจ่ายเงินปันผลตามกิจกรรมของสมาชิก ฉะนั้นเงินปันผลของสหกรณ์จึงมักจัดเป็นค่าใช้จ่ายก่อนหักภาษี
ประเภทของการจ่ายปันผล
1. เงินสดปันผล นั่นคือ เงินสดปันผลจะจ่ายจากกำไรสะสม
การที่จะจ่ายหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับปริมาณเงินสดที่กิจการถืออยู่ ว่ามีเพียงพอหรือไม่ การจ่ายเงินสดปันผลจะทำให้ในงบดุลมีการเปลี่ยนแปลงทั้งด้านสินทรัพย์ โดยเงินสดลดลงตามจำนวนเงินปันผลที่จ่าย ด้านหนี้สินและทุนก็ลดลงเช่นกัน โดยกำไรสะสมจะลดลงตามจำนวนปันผลที่จ่าย
2. หุ้นปันผล
มีลักษณะเป็นการจ่ายปันผลในรูปของหุ้นสามัญออกใหม่ ซึ่งเรียกว่า หุ้นปันผล ซึ่งจะกำหนดจำนวนหุ้นที่จ่ายให้ผู้ถือหุ้นตามสัดส่วนของหุ้นที่ถืออยู่ เช่น การจ่ายหุ้นปันผลร้อยละ 10 หมายความว่า ผู้ถือหุ้นอยู่ 100 หุ้น จะได้รับหุ้นปันผล 10 หุ้น นั่นคือ กิจการจะต้องจดทะเบียนเพิ่มทุน โดยมีจำนวนหุ้นเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 10 การจ่ายหุ้นปันผลไม่ส่งผลกระทบต่อมูลค่าส่วนเจ้าของในงบดุล แต่จำนวนกำไรสะสมจะลดลง ในขณะที่มูลค่าหุ้นสามัญจะเพิ่มขึ้นในจำนวนที่เท่ากัน
หุ้นปันผลจะมีข้อดีตรงที่ จะช่วยประหยัดเงินสดให้ธุรกิจ เพื่อใช้ในโครงการลงทุนอื่นในอนาคต โดยไม่ต้องจัดหาเงินทุนเพิ่มเติมจากแหล่งภายนอกนอกจากนี้ยังเป็นการช่วยเหลือธุรกิจในกรณีที่ประสบปัญหาทางการเงิน ส่งผลให้ราคาตลาดของหุ้นสามัญไม่สูงจนเกินไป แต่ทั้งนี้ก็มีข้อเสียเช่นกันนั่นคือ ค่าใช้จ่ายในการจ่ายหุ้นปันผลค่อนข้างสูง เป็นผลทำให้กำไรต่อหุ้นลดลง ราคาตลาดของหุ้นจึงลดลงตามไปด้วย
3. การแยกหุ้น
จะอยู่ในลักษณะการจ่ายปันผล วิธีนี้จะทำให้จำนวนหุ้นสามัญที่ผู้ลงทุนถือหุ้นอยู่มีจำนวนมากขึ้น เช่น แยกหุ้นจาก 1 เป็น 10 หมายความว่า ผู้ถือหุ้นเดิมจะได้รับหุ้นเพิ่มขึ้น 9 หุ้น ต่อหุ้นที่ถืออยู่ 1 หุ้น โดยมูลค่าที่ตราไว้จะลดลงเหลือ 1/10 ด้วย คือหากมูลค่าเดิมที่ตราไว้ 100 บาทต่อหุ้น เมื่อแยกหุ้นแล้วจะเท่ากับ 10 บาทต่อหุ้น การแยกหุ้นไม่ส่งผลกระทบต่อมูลค่าส่วนของเจ้าของในงบดุล จำนวนกำไรสะสมและมูลค่าหุ้นสามัญรวมยังคงเดิม เพียงแต่จำนวนหุ้นจะมากขึ้น และมีราคามูลค่าที่ตราไว้ต่อหุ้นลดลง วิธีการแยกหุ้นนี้จะสร้างความพึงพอใจให้แก่ผู้ถือหุ้น เพราะเมื่อบริษัทมีกำไรมาก มีการจ่ายปันผลสูง และมีความเจริญเติบโตในอัตราที่ดีแล้ว อาจทำให้ราคาตลาดของหุ้นอยู่ในระดับที่สูงจนส่งผลต่อสภาพคล่องของหุ้น
4. การซื้อหุ้นกลับคืน
การที่ธุรกิจนำเงินกำไรส่วนที่เก็บไว้ในรูปกำไรสะสม หรือเงินที่ได้จากการก่อหนี้ไปซื้อหุ้นสามัญที่ออกจำหน่ายแล้ว ทำให้หุ้นสามัญมีจำนวนน้อยลง ถ้าปัจจัยอื่นคงที่ และการซื้อหุ้นคืนไม่กระทบต่อความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจ จะทำให้กำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้น เมื่อกำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้น จะส่งผลให้ราคาตลาดของหุ้นสามัญสูงขึ้น ถ้าธุรกิจนำเงินที่เก็บไว้ในรูปกำไรสะสมไปซื้อหุ้นกลับคืน ทำให้การจ่ายเงินปันผลลดน้อยลง โดยนักลงทุนสามารถทำกำไรจากการขายหุ้นเมื่อราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้นได้เพื่อทดแทนกับเงินปันผลที่ลดลง การซื้อหุ้นกลับคืนจะต่อเมื่อกิจการมีเงินทุนเหลือใช้เป็นการถาวร หรือต้องการลดจำนวนหุ้นสามัญที่หมุนเวียนในตลาดลง เพื่อทำให้ราคาหุ้นสูงขึ้น หรือเพื่อเพิ่มอำนาจการควบคุมกิจการ เพื่อป้องกันมิให้ผู้ถือหุ้นขายหุ้นให้บริษัทอื่น หุ้นที่กิจการซื้อกลับคืนมานี้ เรียกว่า Treasury Stock
5. การรวมหุ้น
เป็นการรวมหุ้นในรูปแบบที่บริษัทลดจำนวนหุ้นสามัญลง และเพิ่มมูลค่าที่ตราไว้ต่อหุ้น การลดจำนวนหุ้นลงนี้ทำได้โดยการรวมหุ้น ซึ่งจะเกิดขึ้นในกรณีที่ราคาตลาดของหุ้นต่ำมาก ธุรกิจจึงทำการรวมหุ้นเพื่อให้จำนวนหุ้นในมือของผู้ถือหุ้นลดลง ราคาตามมูลค่าของหุ้นจะเพิ่มขึ้น อันมีผลทำให้ราคาตลาดของหุ้นสูงขึ้น